Category Archives: ไม่มีหมวดหมู่

Doctor Strange (2016) : Just right on time เธอมาได้ทันเวลาพอดี อย่างกับรู้ใจ…

Spoil Alert!!

dr-strange-movie-illustration

 

อะ แทรกภาพก่อนซะหน่อยยยย ภาพสวยดี ขอบอกว่าเรื่องหมอแปลกนี่ ไปดูเพราะความเวิ่นเว้อล้วนๆ ตอนแรกกะจะไม่ดูนะคะ กระแสแรงเกิน กลัวโดนหัวหลกจกตา แต่พอดูแล้วก็รู้สึกโอเคโดยรวมนะ มาสับแหลกกันเถอะ++++

ก่อนอื่นเรื่องนี้เป็นหนังในตระกูลมาร์เวลนะคะ สร้างมาจากคอมมิค นับอยู่ในจักรวาลเดียวกับอเวนเจอร์ (ซึ่งสงสัยอยู่ว่าจะถูกจับมาใส่ในเรื่องรวมของอเวนเจอร์อย่างไร เพราะพ่อหมอของเราเก่งเกิน พลังก็คนละแนว) เป็นเรื่องราวของดอกเตอร์สตีเฟ่น สเตรนจ์ ซึ่งเป็นหมอผ่าตัดเกี่ยวกะเส้นประสาท  มีแฟนสาว ชื่อว่าคริสตีน

เปิดเรื่องเป็นการแอบเข้ามาของตัวร้าย ชื่อ ไคซีเลียส มาขโมยคัมภีร์ในหอสมุดแบบสุด ก็ได้สู้กันนิดหน่อยพอได้หอมปากหอมคอ บิดมิติใส่กันยิ่งกว่า อี่ชุดเหลืองนะตัวดี บิดจนตึกกลายเป็นเครื่องโม่บดโกโก้ครันช์ แต่ตัวร้ายก็ต้องหนีได้นะค่า ไม่งั้นเรื่องจะจบก่อนเนาะ ขโมยคัมภีร์ไปได้สองหน้า

ตัดมาที่หมอแปลก (Strange แปลว่าแปลก…. คือควรรู้เลย เพราะในหนังยิงมุขชื่อสเตรนจ์บ่อยมาก ซึ่งถ้าใครไม่รู้ความหมาย = ไม่ฮา จำไว้นังเด๋อ 5555) บุคลิกของหมอแปลกก็คือเป็นคนเย่อหยิ่ง มั่นว่าเก่งมาก จากบทสนทนากับคริสตีนที่ว่าไม่รับงานแผนกฉุกเฉิน เพราะไม่ได้รับชื่อเสียง จะผ่าตัดให้ใคร ก็จะรับแต่คนรวย เพื่อตัวเองจะได้โด่งดัง นางจกเอกกับจบแพทย์ศัลย์พร้อมๆกันเพราะความจำเป็นเลิศ วันนึงขับรถอะ ซิ่งไง ตีนผี ละก็คุยโทรศัพท์ มัวแต่เลือกเคสคนไข้ผ่าตัด รถชนตู้ม แยกค่ะ เป็นชาวบ้านนี่คือตายแน่นอน แต่ด้วยความเป็นหนังมาร์เวลไงแกร

ภาพตัดมา โอ้ยยยย มือเสียหายหนักค่าาาผ่าตัดแล้วผ่าตัดอีก มือไม่ดีเว้ออออ คือต้องดามมือด้วยแท่งเหล็กเพื่อยึดกระดูก เส้นเอ็น ต่างๆ แต่ระบบประสาทนางก็เสียหาย นางก็ไปด่าๆๆๆ หมอที่ผ่าตัดนางว่าทำไมทำงี้ๆ ชั้นทำได้ดีกว่าแน่นอน (แต่มึงทำไม่ได้ละไง มั่นเว่อ) สรุป ผลจากรถชนทำให้นางเป็นมือด้อย แบบว่าสั่นสันนิบาตไรงี้อะ นึกออกปะ พอไปทำกายภาพบำบัดก็ด่านักกายภาพอีก อ่าว อีเวร ไม่พอด่าเมียอีก เมียเทเลยค่ะ เลิกเป็นเลิก โอ้ยอิน ผัวนิสัยเหี้ย ใครจะไปรับได้วะ 555555

ต่อมาค่ะ นักกายภาพนั่นแหละตัวหมา หลังจากรักษาหมอแปลกเนาะ อี่หมอก็ไปด่าและดูถูกเค้าว่า คุณปริญญาตรีกายภาพบำบัดคุณจะไปรู้อัลไล กูนี่แพทย์เฉพาะทางนะ มันไม่หายหรอก น่าตบมาก แต่นักกายภาพก็เล่าให้ฟังว่า เคยเจอนะ รักษาคนไข้ที่่กระดูกไขสันหลังข้อที่ 6 และ 7 เสียหาย แต่กลับมาเดินได้ ละผมจะค้นข้อมูลมาให้คุณดู เจอเลยจ้าาาา อี่คนไข้คนนั้นหายจริง เล่นบาสลืมมมมม


เนี่ย หมดไปแล้ว 30 นาทีแรก อีเวรตะไล ข้อดีคือมันเป็นการสร้างมิติให้กับตัวละครเอกของเราเนาะ มีตื้นลึกหนาบาง มีบุคลิก มีช่วงชีวิตและความเป็นมาอย่างไร ข้อเสียก็คือ สามสิบนาทีแรก มีตัวละครออกมาตะเอี้ย ตามโรงบาลแค่นั้น ไม่มีเค้าของหนังซุปเปอร์ฮีโร่เลย ถ้าไม่มีอีขโมยคัมภีร์มาตอนเปิดเรื่องคือจะลุกหนีนะคะ ลำไย


 

หมอแปลกของเรา เลยไปตามหาค่ะ เจอคนไข้คนที่ว่า ชื่อคุณแพงบอร์น ซึ่งอี่หมอเคยปฏิเสธไม่รักษาเค้าไง กั๊ดอกไปอีก ถามว่ารักษายังไง คุณแพงบอร์นก็เลยแนะนำให้ไปหาหมอที่คามาทัช ในเนปาลนู่นนนนน

13042016011643pashupatinath

maxresdefault

พอมาถึงตอนนี้เริ่มม่วนละ เนปาลสวยมาก เมือง Kathmandu คือเหมือนต้องไปเยือนสักครั้งเนาะ ดีต่อใจ หลายๆ ภาพแอบคล้ายใน The Incredible Hulk หรือใน Marvel’s Agent of Shield มีฉากหิมาลัยด้วย ซึ่งน่าจะซีจี

หลังจากมาถึงเนปาลก็เจอตัวละครเพิ่ม คือ มอร์โด กับ แอนเชี่ยนวัน (อี่ชุดเหลืองตอนเปิดเรื่อง) หมอแปลกของเราก็โดนลด ego จนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไม่รักษาให้บ้าง อย่ามามั่นที่นี่บ้าง บลาบลาบลา ซึ่งบทพูดตอนนี้จะลึกหน่อย มาการกล่าวถึงวิทยาการทางการแพทย์เรื่องเกี่ยวกันการทำงานของปมประสาทเอยอะไรเอย ตุ๊ดไม่เข้าใจค่ะ ดีเบทกับหลักศาสนาหนักๆ พวกจิตนิยม (อยากรู้เรื่องจิตนิยม คลิกที่นี่) ง่ายๆคือใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ไรประมาณนี้ จิตสั่งกายให้รักษาได้ โอ้ยงง ซับซ้อน ไปๆมาๆ อีไคซีเลียส ขโมยที่มาลักคำภีร์ไปเกิดฝึกวิชาสำเร็จพอดี เปิดมิติมืด ติดต่อกับตัวร้ายที่กัดกินดวงดาวและมิติ ชื่อ ดอร์มัมมู ท่านแอนเชี่ยนวันเลยจำเป็นได้รับอิหมอเป็นศิษย์คะ

ซึ่งตรงกับจั่วหัวที่นี่คิดมาเนาะ  Just right on time ไปอีกกกก เดวในเรื่องมีมากกว่านี้ค่ะ

พอรับมาก็ฝึกๆๆๆๆๆ อารมณ์แบบนารูโตะ บลีชอะไรพวกนี้ ฝึกหนักลืม มีมอร์โดช่วยฝึก ทำให้เราได้ทราบว่า สิ่งจำเป็นในการร่ายเวทคือต้องมีแหวนเวท และในโลกมีมิติซ่อนอยู่ ซ้อนในซ้อน คือมิติกระจกไปอีก อย่างว่าเนาะ คนเก่งอะ เป็นหมอไง เรียนรู้เร็วมากกกก ก็เลยยืมหนังสือหอสมุดรัวๆ เลยได้พบกับ หว่อง ซึ่งก็มีการหยอดมุขว่า หว่องเฉยๆ สั้นๆไม่มีนามสกุลคล้ายนักร้องเช่น อเดล เอมมิเน็ม บียอนเซ่ อะไรงี้ (ซึ่งนี่ก็ไม่ค่อยขำนะ แต่ในโรงดูชื่นชอบกัน) หว่องเนี่ยเป็นผู้เฝ้าอาศรมด้วยนะ

แท้แดดดดด พอมาถึงตรงนี้ อิดอก อาศรมคือไรวะ นางก็อธิบายว่า โลกมีอเวนเจอร์คอยปกป้องจากเหล่าร้ายที่มีรร่างกาย แต่บรรดาจอมเวทย์ต้องคอยปกป้องอาศรมด้วยเวทและปีศาจที่มาทางจิต (ซึ่งอันนี้แอบคิดตามว่า โอกาสที่หมอแปลกจะไปโผล่ในอเวนเจอร์คงยาก เพราะทำหน้าที่คนละส่วนกัน ขนาดอาศรมนิวยอร์คพัง ยังไม่มีใครมาช่วยเลย) ก็เล่าผ่านๆ หมอแปลกก็ไม่สนใจเท่าใหร่ ฝึกวิชาต่อ ฝึกไปฝึกมาก็เริ่มแอบเอาตำราของแอนเชี่ยนวันมาฝึก จนพบว่ามีโดนฉีกไป ก็เลยอวดดี ไปเอา ดวงตาแห่งอกามอตโต้ มาลองวิชามิติเวลาซะหน่อยยยย ก็ได้สองหน้าที่ถูกขโมยคืนมา ก็ได้รู้ว่ามันคือหน้าเกี่ยวกับการเรียกดอร์มัมมู อสูรมิติมืด ก็ลองร่ายดูอีก หน้าบุญโดนห้ามไว้ทัน เค้าก็เลยบอกว่า เวทมิติเวลามันอันตรายมาก ไม่ควรไปยุ่ง

ขณะนั้นเอง  Just right on time อีกแล้วค่ะ อาศรมลอนดอนโดนบุกเจ้าาาาา อิหมอแปลกก็ไปทั้งๆที่สร้อย ดวงตาแห่งอกามอตโต้ ห้อยที่คอนั่นแหละ ละไปสู้กับไคซิเลียส นางก็ทำไรไม่ใช่ได้ อาวุธก็ยังเสกไม่คล่อง เสกเวทแล้วเว่าลืม อาวุธไม่ออก ออกมาข้างเดียว หน้าบุญมาผ้าคลุมบินได้มาช่วยไว้ ช่วยเยอะเลยแหละ สุดท้ายโดนแทงหัวใจ เกือบตาย วาปไปให้เมียช่วยเลยค๊ะ อินดูคริสตีนมาก ถ้าไม่เกือบตายคือคงไม่มาหากูสินะ ก็ถอดจิตอีก ไปสู้ด้วยร่างจิตอีกคะ สู้ไม่ได้อีก ขอให้เมียปั๊มหัวใจให้ เพราะพลังจากเครื่องปั๊มหัวใจจะชอตศัตรูในมิติจิตได้ (อันนี้มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์นะคะ ใครเทพมาอธิบายแทนน้องกำ พวกคลื่นไฟฟ้ากับควอนตัมกับจิตอะไรพวกนี้อะ) สรุป ชนะเพราะเมียช่วย และผ้าคลุมช่วย ฆ่าลูกกระจอกได้ 1 ตัวไง

doctor-strange-trailer-2-uk-latest

หลังจากพาร์ทนี้คือ สนุกมากกกกกก บิดมิติใส่กันยิ่งกว่า ไคซิเลียสบุกเนาะ อีหมอก็ตบเข้ามิติกระจก โป๊ดโทะ บิดมิติใส่กันยิ่งงงงงงง (แต่อีหมอบิดไม่เป็นนะ โดนเค้าตามล่ามากกว่า) ไคซิเลียสก็ปั่นว่าแอนเชี่ยนวันก็เลวเหมือนกัน แอบทำสัญญากับมิติมืด ถึงมีอายุยาวเป็นพันปี ตึ่งโป๊ะ แม่มาเลยเจ้า แอนเชี่ยนวันมาเลยค้า ทำเวทีใหม่เสร็จสรรพ เวทีงามมาก เป็นรูปดอก คล้ายลานอะตอม ทำให้นึกได้ว่า อิวงเวทเนี่ยเหมือนที่เค้าทำบอดี้เพ้นท์กันอะ สวยดี น่าจะมีชื่อ หาข้อมูลไม่ทัน 555 สรุป สู้ไปสู้มา แอนเชี่ยนวันมีสัญลักษณ์ของมิติมืดปรากฏที่หน้าผาก โอเค นางใช้พลังจากมิติมืดจริงงงง สู้ไปสู้มา อาศัยชุลมุนคะ แอนเชี่ยนวันโดนแทง เออะ ต๋ายอ้องเลยคะ นางก็ฝากให้หมอ กับมอร์โดดูแลต่อ ก่อนไปนางก็เฉลยว่า อี่คนไข้ที่กลับไปเดินได้อะ ไม่ได้รักษานะ แต่ใช้พลังเวทตลอดเวลาเพื่อให้เดินได้ อ้าวววว เซอไพรซ์จัง

สุดท้ายละ เหลืออาศรมฮ่องกง บุกคะบุกกกก ปรากฏว่าไปบ่ตันเจ้า แหลวเว่อ อี่มิติมืดทะลักออกมายิ่งกว่า แต่ว่า Just right on time แหมแล้ว แต่รอบนี้คือ บิดมิติเวลาเลยค่ะ บ่าอั้นจะบ่าทัน เพราะ ดวงตาแห่งอกามอตโต้ ที่ห้อยคอหมอแปลกอยู่ คือ Time Stone หนึ่งใน Infinity Stone คอลเลคชั่นหกเม็ด ควบคุมเวลาได้ไปอีก ย้อนเวลา ตอนนี้เอฟเฟคก็เริด ย้อนคืนค่ะ แต่ดอร์มัมมูกลัวไม่มีบท ก็แทรกแซงซะหน่อยยยย

หมอแปลกเลยทำตัวเป็นฮีโร่ (ก็หนังฮีโร่เนาะ) ไปหาดอร์มัมมู เพื่อเจรจา แต่ดอร์มัมมูไม่ฟังค่ะ อี่หมอตายห่าอีกแล้ว เดชะบุญของ time stone นางก็ได้เซตวังวนเวลาให้ย้อนกลับมาใหม่ถ้านางตาย วนไปเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด อี่ดอร์มัมมูแพ้ทางค่า เพราะว่าในมิติมืด ไม่มีเวลา ตัวร้ายก็ไม่รู้ทำไง เอ๋าาาาาา สุดท้ายต้องยอมเจรจากัน ดอร์มัมมูถอนทัพ พาลูกน้องไปด้วย โรลแบคอาศรมกลับคืนมา save the world ไปเหีย

หมอแปลกไม่เก่งนะ แต่ทุกอย่าง Just right on time ไง

FYI

1 เรื่องวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ กันแนวคิดทางจิตนิยม ไม่ว่าจะเป็นเต๋า ขงจื้อ หรือแม้แต่การรักษาด้วยศรัทธา อันนี้หาเพิ่มหน่อยก็ดี งงมากค่ะ ฝึกจิตแล้วจะหายจากโรคร้ายอย่างไร ยิ้มสู้มะเร็งงี้

2 เรื่อง dimension ต่างๆ นะ มิติกระจกหรือเคยคุ้นหูกันมาว่าคู่ขนาน มิติวิญญาณ มีกระแสพลังงานส่งไปถึง โอ้ยแฟนซี ใครเป็นสายสิ่งลี้ลับก็จะเก็ตประเด็นพวกนี้เนาะ

3 เกี่ยวข้องกับ Time Stone ก็จริงนะ แต่เนื้อเรื่องคงมาหาทีมอเวนเจอร์ได้ยาก ฟีลประมาณ Guardian of the Galaxy คือออกนอกโลกไปเลย ถ้าดูในมิดเครดิตเห็นว่าจะไปช่วยธอร์ เราคงได้เห็น Loki vs Dr.Strange แน่นอน สายเวทเหมือนกัน

4 เอนเครดิต มอร์โดเทอี่หมอ เพราะไม่เห็นด้วยกับการที่แอนเชี่ยนวันดึงพลังมืดมาใช้ หรือการที่อีหมอย้อนเวลา ผิดหลักธรรมชาติ เลยเลือกทางเดินของตน สุดท้ายไปยึดพลังคุณแพงบอร์น คนที่เคยแนะนำหมอแปลกมาคามาทาช คาดว่าต้องมี  Mordo vs Dr.Strange อีกเหมือนกัน

5 เพจ หลวงจีนหอไตร มีรายละเอียดเยอะกว่านี่มาก ลองไปอ่านกันนะ

 


สิ่งที่ชอบ

  • วิช่วลเอฟเฟค งาม งามจริง ถูกจริต ไม่ว่าจะเป็นลวดลายของวงเวท เอฟเฟคในมิติกระจก หรือการย้อนเวลา
  • พาร์ทหลังๆ เดินเรื่องกระชับ ฉับๆๆๆๆๆ ชอบ ถ้าไม่ตั้งใจดูมีสิทธิหลุดได้ง่ายๆ
  • เนปาลงามมาก อยากไปเอาดีๆ
  • ท่านแอนเชี่ยนวันหน้าเนียนกริบ ใช้รองพื้นอะไรเหรอ หรือว่าซีจีทั้งหัวอะ
  • ประตูวาป เหมือนหมุนบอกไฟแส้ป้าวงานยี่เป็ง1 เหมือนจริงๆ นะ ลอยกระทงนี้เจอกัน

doctor-strange-trailer-2-uk-latest

สิ่งที่ไม่ชอบ

  • หมอแปลกไม่เก่งนะ แต่ทุกอย่าง Just right on time ไง
  • ตอนต้นเรื่อง อืด ยืดยาด เสีย 30 นาทีไปกับการปูพื้นเพบุคลิกตัวละคร เบื่อ  ในขณะที่ตัวละครตัวอื่น แบนราบ ไม่มีมิติ ไม่ว่าจะเป็นแอนเชี่ยนวัน มอร์โด คริสตีน คือเพลนๆ ไม่มีตื้นลึกหนาบาง
  • ท่านแอนเชี่ยนวันตายง่ายมาก เฮ้ยมึงอันดับหนึ่งของโลกปะวะ
  • รอขายของภาคสองสินะ อิพวกเวร ภาคสองมาขอใส่โครมๆ เลยนะคะ ไม่ต้องมาอินโทรละ ลำไย

 

8/10 คะแนนค่ะ
หักคะแนน 30 นาทีแรก
และหักคะแนนท่านแอนเชี่ยนวัน น่าจะโชว์ของกว่านี้
ส่วนอีหมอ โชคดีไปใหนคะ

ใส่ความเห็น

Filed under ไม่มีหมวดหมู่

วิจารณ์แฟนเดย์แบบฮาร์ดคอร์ —– Spoil Alert!!

cmrc2xkuiaadg-r
– ตัวละครหลักมีแค่สามตัว เด่น แสดงโดยเต๋อฉันทวิชญ์ นุ้ย แสดงโดยมิวนิษฐา และ ท็อป แสดงโดย ตุ้ย ธีรภัทร์ สัจจกุล (กิ๊ส — (> <)”) นอกนั้นก็มีตัวละครรองๆ เช่น พี่ฝ่ายไอที อีจอยเพื่อนนางเอก และคุณชุ เมียของท็อป
  • เด่น เป็นคนที่ไม่เด่น แม่งอินดี้สัสๆ มีอาการ Sociopath หน่อยๆ ปลีกตัวพูดติดอ่างตะกุกตะกัก ชอบเกา สรุปคือจิตอ่อนๆ โอเคมะ ที่ตั้งชื่อว่าเด่นเนี่ย ก็เพราะว่ามันไม่เด่น เป็นการใช้ภาพพจน์แบบ paradox หรือปฏิพจน์ เทียบแบบคู่ตรงข้ามเนาะ อีกนัยนึงคือ น่าจะกล่าวถึง อ.เด่นชัย เมืองแพร่แหละ เพราะเป็นเมืองทางผ่าน ที่ราบ ไม่มีอะไรน่าตื่นตา นิสัยเหี้ยสุดๆ ของพระเอกคือการเป็น Stalker!! คือพวกสะกดรอยอะ นางเอกทำไรก็เสือกหมด แอบดูหมด ภาพในหนังอาจทำออกมาให้ดูแบ๊วนะ แต่นึกภาพตามคือ เออ อีนี่มีอาการทางจิตว่ะ
096
  • นุ้ย นางเอก สาวออฟฟิศ ฝ่ายมาร์เกตติ้ง เนื้อหาไม่กล่าวถึง นิสัยของนุ้ยมากนัก แต่พอคาดเดาได้จากพฤติกรรมว่าเป็นคนหัวอ่อน ฟุ้งฝัน จากการวาดภาพแพลนการไปเที่ยวญี่ปุ่นเป็นการ์ตูนเล่นเกมฟาร์มเฟรนซี่ปลูกผักไรงี้ หรือการสะสมฟิกเกอร์จากไข่หยอดตู้ รวมถึงการโดนท็อปฉีดยาเคลิ้ม สร้างนิยายขายฝันแบบเว้อๆ และนางก็ยังเชื่ออยู่ แต่สิ่งที่ขัดหูขัดตา และขัดบุคลิคของนางมากๆ คือ การชอบฟังเพลงเก่า?? คือไรอะ ทั้ง lifestyle หรือ background อื่นๆ ไม่ซัพพอร์ทการฟังเพลงเก่าสมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่เลย ยัดเยียดความเป็น 80-90s ลงไปอีก (แต่นี่โอเคกับเพลงฝันลำเอียงนะ) ชื่อนุ้ยนี่น่าจะมาจากคำว่าน้องนุ้ยภาษาใต้นะ ไม่ชัวร์
cpan6fsvuaix8ov
  • ท็อป หัวหน้างาน มีเมียแล้ว มีลูกแล้ว แต่สมภารแอบกินไก่วัด แอบคบกับนุ้ย โดยขายฝันว่าจะหย่าเมียทิ้งลูก เพื่อมาแต่งงานกับนุ้ย โอ้ยผู้ชายมันเหี้ยคุณเอ๋ย ไม่อยากจะพูด ต่อหน้าเมียอย่าง ต่อหน้านุ้ยอย่าง (อินทำไมเนี่ยอิดอก) แต่เราก็เคลิ้มอะ มองหน้าละฟังพี่ท็อปพูดคือนี่เชื่อหมดเลยนะ พี่ตุ้ยงานดีมาก มีมุขเสี่ยวมากมายมาทำให้นุ้ยอ่อนใจใจอ่อน ชื่ออินทนนท์มั้ง ยอดดอยสูงไปอีก ปีนค่ะปีน
dsc04457-450x300
ใช่แล้วค่ะ ท่านผู้ชม #นุ้ยคือเมียน้อย และเด่นคือไอ้โรคจิตที่แอบชอบเมียน้อยคนอื่นอีกที

เนื้อเรื่อง

เนื้อเรื่องจะขอแบ่งเป็นสามพาร์ทตามใจชอบละกันนะคะ คือ
1. พาร์ทก่อนความจำเสื่อม
2. พาร์ทหลังความจำเสื่อมแล้ว
3. พาร์ทก่อนเข้านอน
(แต่ละพาร์ทก็กล่าวไปค่อนข้างเยอะแล้วนะคะ 555+)
  • เริ่มเรื่องมาโดยให้เด่นเป็นผู้เล่าเรื่อง ว่าแอบชอบนุ้ยมากแค่ใหน และคนไม่สนใจเด่นแค่ใหน ประมาณว่าขนาดแม่ค้ายังจำกับข้าวที่กูชอบกินไม่ได้เลยงี้ แต่ว่านุ้ยไม่สนใจเลยละนุ้ยก็ชอบพอกันอยู่กับพี่ท็อป ทีนี้พี่ท็อปก็วางแผนพานุ้ยไปเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อขอแต่งงาน แต่พาไปสองคนก็จะโป๊ะเมียจับได้ไง ก็เลยพาไปทั้งบริษัทแม่ง มีเงินซะอย่างอะ ซึ่งก่อนไปเนี่ย ท็อปหลอกเมียว่าจะอยู่เที่ยวต่อกับเพื่อนชาวญี่ปุ่น แต่จริงๆจะเที่ยวต่อกับนุ้ย ละมีชอตนึงไปเล่นสกีกัน เด่นก็ไปขอพรกับระฆังขอให้ได้เป็นแฟนกับนุ้ย 1 วัน (ซึ่งระฆังหายไปจากเนื้อเรื่องอย่างน่าประหลาดใจ เฮ้ย มันเป็นไอเท็มที่เป็น cause ของเรื่องทั้งหมดไม่ใช่เหรออออออโฟกัสหน่อยไม่ได้เหรอไง) พอกลับมาที่โรงแรม เซอไพรซ์ เมียของท็อปมาตามค่า (อีดอก ใส่บทนี้มาทำไม)  ท็อปเลยต้องไปเที่ยวกับเมีย นุ้ยเลยได้อยู่ต่อคนเดียว ส่วนเพื่อนพนักงานคนอื่นๆกลับไทย เด่นไม่กลับเพราะเป็นห่วงนุ้ย (ที่จริงคือโคตรๆๆๆของโรคจิตstalker) นุ้ยเสียใจยิ่งๆๆๆ เลยไปโดดหน้าผาหิมะที่เค้าเล่นสกีกัน(ซึ่งยังไงมึงก็ไม่ตายมะ) บาดเจ็บเข้าโรงบาล ความจำเสื่อม แต่ความจำเสื่อมวันเดียวนะ แท๊แด
บอกตามตรงไม่อ้อมค้อมนะ เกลียดมากพาร์ทนี้ เกือบลุกออกจากโรงแล้ว คะแนนติดลบในใจมากๆ เพราะเกลียดการยัดเยียดดราม่าอะ นางเอกเป็นเมียน้อยเอย ตัวพระเอกที่ดูประดิษฐ์ให้ดูไม่เด่นแต่จริงๆมึงนะแหละเป็นตัวเด่นอีเวร บวกกับเทคนิคการเล่าเรื่องที่ผ่านตัวละครพระเอกซึ่งดูรู้ไปทุกเรื่อง และนางเอกที่มีนิสัยน่าหมั่นไส้ คือหักคะแนนรัวๆ ไม่ชอบเลยยยยย
  • ต่อด้วยพาร์ทที่สอง สำหรับนี่พาร์ทนี้คือแฟนเดย์ที่แท้จริง คือสิ่งที่นี่คาดหวังว่าจะได้ดู และทำได้ดีมากๆ ด้วยนะ เมื่อนุ้ยตกเขา เด่นที่คอยสะกดรอยตามนุ้ยอยู่ตลอดเวลาก็รู้ได้ทันทีและออกตามหา กว่าจะเจอก็ค่ำงี้ คุยกะหมอก็พบว่านุ้ยปกติดี ยกเว้นเสียความทรงจำระยะสั้น คือจำได้ถึงแค่ปี 2012 ไปอีก แต่อาการนี้จะเป็นแค่วันเดียว พอเธอหลับและตื่นมาในตอนเช้าเธอก็จะหายดี แต่จะจำวันที่ความจำเสื่อมไม่ได้ งงมะ 555+ พอนุ้ยฟื้น เด่นก็สวมรอยเป็นท็อป และบอกว่าเป็นแฟนของนุ้ย ซึ่งเราว่าน่าสงสาร เพราะการลบตัวตนเพื่อให้ได้เป็นแฟนกับใครมันน่ารันทดอะแกร ในพาร์ทนี้มีการยัดทุกองค์ประกอบของการเป็นแฟนกันเนาะ ทั้งจีบเอย งอนง้อเอย พาไปกินซูชิ พาไปซัปโปโร จะไม่ขอลงดีเทลนะ พาร์ทนี้ดูแล้วอิ่มสุด เป็นไปได้อยากกรอกลับไปกลับมา คือเข้าใจคำว่า you drawn the best part of me มั้ย คือเมื่อคนเรารักกันมักจะดึงสิ่งที่ดีที่สุดของกันและกันออกมาให้เราได้เห็น รวมถึงสิ่งแย่ๆด้วยนะ คือจากที่ไม่ชอบตอนแรกที่คะแนนติดลบ กลับมาเป็นว่าคืออะไรวะ มุ้งมิ้งมาก เพลงคือโคตรได้ เพลงฝันลำเอียงของพี่แจ้ดนุพล คือใส่มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยอีเวร ผู้กำกับคงชอบเพลงนี้แหละ แต่นี่ก็ชอบเหมือนกัน หยวนๆ ให้ค่ะ บทก็คมขึ้น ไม่ว่าจะเป็น “เธอคือภูเขาเอเวอเรสต์ของฉัน” หรือเกมจ้องตางี้ นุ้ยคืองามแบบสามโลกอะ มิวนิษฐาคือไม่ไหวแล้ว ปังแบบสุด ส่วนเต๋อก็พอถูๆไถๆไปได้แต่ขัดใจกับฟันปลอมกับผมทรงหมอยเฉยๆ ที่สำคัญพาร์ทนี้พาไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบ สวยอะ ฟิน

  • พาร์ทสุดท้าย พาร์ทก่อนเข้านอน คือด้วยความที่ว่าพอเข้านอนก็จะหลับเนาะ ละพอตื่นก็จะลืมเรื่องราวต่างของวันนี้ทั้งหมด นุ้ยคนเดิมจะกลับมา รวมถึงเด่นคนเดิมด้วย เด่นจึงตัดสินใจเล่าความจริง ว่าเขาไม่ใช่ท็อปนะ อีดอกพูดตามตรง พอมาถึงพาร์ทนี้บทเริ่มตะกุกตะกักอีกแล้ว เปลี่ยนคนเขียนปะวะ จริงๆมีเหตุผลรองรับนะ จากตอนแรกที่หลอกว่าเป็นท็อปอะ มันคือการลบตัวตนของเด่นไป การเฉลยมันคือการเอาตัวตนของเด่นกลับมา แต่คือแบบหงุดหงิดเนาะ เด่นอยู่ดีๆก็ทำลายบรรยากาศด้วยการพูดขึ้นมาว่าผมไม่ใช่ท็อป ที่ทำไปเพราะอยากให้นุ้ยมีความสุขไม่ได้คิดมิดีมิร้าย ละนุ้ยก็เหมือนผีเข้า ตบตีอิเด่นอย่างวัวอย่างควาย เมื่อกลางวันยังสวีทกันอยู่เลย คอนทราสต์มากค่ะ ไล่เด่นออกจากห้อง ละค้นหาความจริงด้วยตัวเอง จนเจอเบอร์ของท็อปละโทรหา โทรไปปุ๊ป อ่าวโป๊ะ อิท็อปอยู่กะเมียค่าาาาา ตึชชชช ตอนเด่นเฉลยว่าพีคแล้ว อันนี้พีคกว่า พีคในพีค พีคแล้วพีคอีก เกลียดคนเขียนบทตรงนี้แหละลำไย นุ้ยเลยไปถามความจริงจากปากของเด่น ว่า ชั้นเป็นเมียน้อยเหรอ ซึ่งเราชอบบทพาร์ทนี้นะ ประมาณว่า ไม่คิดว่านุ้ยเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเลือกใช้ชีวิตแบบนี้ น่าสมเพช แต่มันก็คือตัวเอง บทอีกตอนนึงคือ ถึงคุณจะลืม แต่ผมไม่มีทางลืม ชอบมากๆ ถึงได้บอกไงว่าผู้กำกับผีเข้าผีออกอีเวร สุดท้ายนางก็ปรับความเข้าใจกัน โอเคแฮปปี้เอนดิ้ง นุ้ยถ่ายคลิปไว้ว่าเรารักกันแค่ใหน ละขอให้เด่นมาหาในวันรุ่งขึ้นเพื่อที่จะรื้อฟื้นความจำงี้ แต่เด่นไม่ยอม (อีดอกหลักการของ Stalker ที่แท้จริง พอเหยื่อรู้ตัวก็จะเลิกสนใจงี้ปะ) สุดท้ายแอบลบคลิปในมือถือนุ้ยทั้งหมด แต่เหลือไว้อันนึง (เนี่ย เกลียดตรงเนี้ย อีตอแหลม) กลับไทย แยกย้าย แต่ยังไม่จบบบบบบ นุ้ยมาเปิดดูคลิปละเหมือนจะจำได้ โอ้ยจะเอาไงคะพี่

สิ่งที่ชอบ
1. บท ช่วงกลางๆ ไล่มาถึงท้ายๆ คมมากนะ มีสัญลักษณ์เต็มไปหมด จนเกือบไม่ชอบเหมือนกัน แหวนขนมเอย เอเวอร์เรสต์เอย ตุ๊กตาเอย แผ่นปั๊มที่ไปเที่ยวเอย แต่กลมกล่อมอยุ่  ให้
2. มิวนิษฐา อีดอกสวยมากคนอะไร ละลุคเนเชอรัลที่นางไปเที่ยวอะ โอ๊ยเกลียด งามเกิน แรดก็ไปได้ เฟี้ยวเงาะก็ไปได้ ใครลังเลนี่จะแนะนำให้ไปดูเพราะผู้หญิงคนนี้
3. พี่ตุ้ย ธีรภัทร์ เฮ้ยแกร อะไรวะ พี่เค้าดีต่อใจมากอะ ถึงรู้ว่าพี่เค้าหลอกแต่ตอนนั่งในโรงคือ พูดอะไรมาเชื่อหมดนะ เคลิ้มเหมือนต้องมนต์จริงๆ
4. พาร์ทที่สองค่ะ ดูแล้วยิ้ม กลมกล่อมของจริง
สิ่งที่ไม่ชอบ 
1. พาร์ทแรก อยากให้ตัดออกให้หมดมาก ลำไย
2. เต๋อ ไม่เหมาะกับบทนี้มะ ดูช้ำสนาม บอกไม่ถูก เต๋อเหมือนถูกจับมาใส่ชุด แต่ชุดไม่เนียนเข้าใจมะ คือถ้าเด่นไม่ใช่เต๋อคงสนุกกว่านี้
3. เทคนิคการเล่าเรื่อง นี่คิดว่าคงติดมาจากพี่มากพระขโนง คือพีคแล้วต่อ พีคแล้วต่อ เกิดความสับสนว่าอะไรคือพีคที่แท้จริง
4. เพลง ฝันลำเอียง ชอบมาก จังหวะที่ใช้เพลงนี้ได้มาก ตอนนุ้ยเลื่อนสไลเดอร์ งานดี
5. ไม่รู้ใครสังเกตุเห็นป่าว ว่า “แฟน” ในเรื่องนี้ถูกทำให้เป็นเหมือนวัตถุนะ มีความ Sexism คือแบบว่าชายเป็นใหญ่อะ นุ้ยคือบอบช้ำมาก ท็อปก็เหี้ย เด่นก็เหี้ย ไม่มีใครสนใจในจิตใจของนุ้ยเลย
สรุป
7.5/10 หักคะแนนนึงสำหรับพาร์ทแรก และอีกคะแนนสำหรับเต๋อ อีกครึ่งคะแนนหักเพราะคนเขียนบทเหมือนเมากาวและทะเลาะกับตัวเองค่ะ

ใส่ความเห็น

Filed under ไม่มีหมวดหมู่

รักหมดแก้ว : ถ้าหมดแก้วทำไงต่อ?

เร่เข้ามาค้าคุณขาาาาาา ห่างหายไปนานกับการเขียน critic ลงบล็อคแบบเบลอๆ ตามประสากะเทยเมายาคุม ไปอ่านกันเล้ยยยยยย

movie_slide_S__47407173

ปัจจัยที่คน ๆ หนึ่งจะไปดูหนังมีไม่กี่ข้อ บางคนไปดูเคยรู้เรื่องมาแล้ว บ้างอยากไปดูเอาดีเทล บางคนก็อยากไปดูเพราะดารา บางคนก็อยากไปดูเพราะเพลง !! ขอบอกเลยว่าที่มีโอกาสไปดูเรื่องนี้เพราะเพลงค่ะ !

ให้เกียรติผู้แนะนำเพลงนี้ ได้แก่ เจ๊อันนาเคทค่ะ นางเปิดกรอกหูในรถนางทุกวัน พอถึงวันนี้นางก็บอกว่าเพลงนี้เป็นเพลงประกอบหนังนะรู้ยัง ไปดูมั้ยยยยย แหม ไปสิคะเจ๊ จัดค่ะ จัดดดดด

เนื้อเรื่องเปิดมาที่ว่า วัยรุ่นหนุ่มสาวสองคน คือ ไฟเลี้ยว และบักโจ้(buggio) ถูกจับด้วยเหตุเมาเพราะขับ ทั้งคู่ถูกขังคุกหนึ่งคืน ด้วยเหตุดังกล่าว เรื่องราว flashback ย้อนอดีตก็เกิดขึ้น โดยให้ทั้งสองเป็นผู้เล่าเรื่อง วิธีการก็ง่าย ๆ ชายเล่าสลับหญิง สลับไปมา

เริ่มต้นพี่พ่อพระเอกของเรา นายบักโจ้ เป็นหนุ่มง่าย ๆ  สบาย ๆ ที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด พระเอกมีแบคกราวด์ค่อนข้างน้อย เป็นเด็กที่บ้านมีธุรกิจ มักจะไม่ค่อยพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา แต่ก็พอจะคาดเดาได้ว่าเขามีความเชื่อมั่นในความรักสูงมากๆ และพยายามจะยอมรับเงื่อนไขทุกอย่างที่คนรักของเขาสร้างขึ้น แม้จะแบ่งรับแบ่งสู้ก็ตาม เค้ายอมทุกอย่างเพื่ออยู่กับไฟเลี้ยว แต่สุดท้ายมาเขาก็ตั้งคำถามกับชีวิตแต่งงาน ว่าถ้าเต็มสิบ เค้าให้ชีวิตแต่งงานกี่คะแนน เค้าจะไม่ยุ่งกับสาวๆ คนใหนอีกเลยตลอดชีวิตเหรอ เค้าจะดูแลคนรักของเค้าได้ตลอดชีวิตจริงเหรอ???

bugek

bugek (1)

มาต่อกันที่นางเอกของเรา ไฟเลี้ยวมีลักษณะปัจเจกที่สุดพิเศษคือนางชอบอ่านหนังสือหนังหา เพื่อเปิดโลกทัศน์ให้ตัวเอง ซึ่งในนามของสาวมนุษย์ไทยสายวรรณกรรมขอยืนยันว่า เมื่อคุณอ่านหนังสือไปถึงจุด ๆ หนึ่ง แน่นอนว่าเรื่องหนึ่งที่คุณต้องได้จับแน่นอนคือ “ปรัชญาชีวิต” ของคาลิล ยิบราน ที่มีแนวคิดมากมาย พอไฟเลี้ยวอ่านมาถึง เรื่องที่ว่าด้วยการแต่งงาน ท่อนที่ว่า

จงรักกันและกัน แต่อย่าสร้างพันธะแห่งรัก
และขอให้ความรักนั้น เป็นเสมือนห้วงสมุทร
อันเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างฝั่งแห่งวิญญาณของเธอทั้งสอง
จงเติมถ้วยของกันและกัน แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกัน
จงให้ขนมปังแก่กัน แต่อย่ากัดกินจากก้อนเดียวกัน
จงร้องและเริงรำด้วยกัน และจงมีความบันเทิง
แต่ขอให้แต่ละคนได้มีโอกาสอยู่โดดเดี่ยว
ดังเช่นสายพิณนั้น ต่างอยู่โดดเดี่ยว
แต่ว่าสั่นสะเทือนด้วยทำนองดนตรีเดียวกัน
จงมอบดวงใจ แต่มิใช่ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง
เพราะหัตถ์แห่งชีวิตอมตะเท่านั้นที่จะรับดวงใจของเธอไว้ได้
และจงยืนอยู่ด้วยกัน แต่อย่าใกล้กันนัก
เพราะว่าเสาของวิหารนั้นก็ยืนอยู่ห่างกัน
และต้นโพธิ์ ต้นไทรก็ไม่อาจเติบโตใต้ร่มเงาของกันได้

นางก็เกิดดีดผึง (ซึ่งดิฉันหมายถึงการตื่นของปัญญา) นางก็ยึดเอาท่อนที่ว่านี้มาเป็นปรัชญาในการดำเนินชีวิตของนางในช่วงตลอดหลายปีให้หลัง ด้วยความที่นางมีครอบครัวที่ไม่แข็งแรงนัก เพราะพ่อแม่ของเธอทะเละกันอยู่บ่อย ๆ ชีวิตคู่จึงเป็นปัญหาสำหรับไฟเลี้ยวพอสมควร และไฟเลี้ยวก็ตั้งเงื่อนไขในความรักของตนเองกับทุกคนเสมอมาว่า “เรารักกัน แต่ไม่ใช่เจ้าของกันและกัน” เป็นไงล่าาาาาา แม่สาวคนนี้ hipster เสียจริง

ความหนักใจที่สุดก็ไปตกลงที่โจ้ ทั้งคู่คบกันตั้งแต่อยู่ปีสี่ รักๆ เลิกๆ กัน ถ้านับตามไทม์ไลน์ในเรื่องคือห้าครั้ง แต่โจ้ก็เป็นฝ่ายง้องอนทุกครั้ง ละจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าโจ้ตัดสินใจไม่ง้อล่ะ ถ้ารักของโจ้หมดแก้วไปแล้วล่ะ ??? เมื่อทั้งคู่เรียนจบ ก็ได้มาแสวงหาความหมายของชีวิตในวงเหล้าซึ่งเชื่อว่า นักศึกษาหลาย ๆ คนเป็นเอามาก เรื่องการหาความหมายของชีวิตในวงเหล้า ทั้งคุ่ก็ได้พบสัจธรรมมากมาย มิตรภาพที่เปี่ยนล้นในวงสนทนาของคนเมา จนโจ้ตัดสินใจเปิดร้านเหล้าเป็นของตัวเอง เป็นที่มาของชื่อเรื่อง พาร์ทเรื่องของแรกสนุกสนาน พีคสุด ๆ กับตัวละครที่ขนมาชนิดที่ว่าเต็ม ไม่ว่าจะเป็น ขุ่นแม่มาช่า ที่มาในบทเจ๊อุ๊ เจ้านายของไฟเลี้ยว ยาย่าเพื่อนสาวของไฟเลี้ยวตั้งแต่มหาลัย อ๊อฟ ปองศักดิ์, ป๊อบ ปองกูล, สงกรานต์ The Voice, เอ็ม บุดด้าเบลส บลาบลาบลา เยอะแยะไปหมด แต่อย่าคาดหวังเพลงจากพวกเค้านะค้า พี่เค้ามาในมาดนักแสดงค่ะรอบนี้

ปรัชญาในวงเหล้าผุดมาเต็มไปหมดในพาร์ทแรก เป็นต้นว่า ผุ้หญิงจะอยู่ที่ใหนมันก็แรดได้ หรือว่า รักกันจนวันตายมันไม่มีอยู่จริง ไฟเลี้ยวช่างชื่นชอบมันเสียจริง ถึงขั้นขอให้เจ๊อุ๊สอนว่าทำอย่างไรถึงจะโสดและ cool เหมือนเจ๊อุ๊ได้ ผิดกับโจ้ที่ไม่เห็นด้วย และคิดว่า ปรัชญาในวงเหล้าใช้ไม่ได้จริงในชีวิตข้างนอก แต่สังเกตดีๆ ก็เป็นโจ้นี่แหละที่เอาปรัชญาวงเหล้าต่างๆไปใช้เยอะสุดนะ

พาร์ทที่สองเริ่มวกกลับเข้าสู่ชีวิตดราม่าของแต่ละสมาชิกในวงเหล้า ไม่ว่าจะเป็นร้านเหล้าของโจ้ที่ขาดทุนทุกเดือน แต่เค้าไม่ได้บอกใคร หรือปัญหาครอบครัวของไฟเลี้ยวที่ทำให้เธอกล้า ๆ กลัว ๆ กับความรัก ญาญ่าที่หลงรักไฟเลี้ยวมาตั้งแต่ปีหนึ่ง หรือเจ๊อุ๊ที่เป็นมะเร็งแต่ไม่บอกใคร เพราะเธอหวงแหนความสุขไม่กี่อย่างที่เธอมี หนึ่งในนั้นคือความสนุกสนานในวงเหล้า

ที่เหลือไปดูกันเอาเอง รักกันก็ต้องหมดแก้ว ถ้าหมดแก้วแล้วจะทำไง เติมอีกเหรอ กินมากๆจะเมามั้ย เหล้าก็เปรียบเหมือนความรักนะเรื่องนี้ ติดใจมากๆ คือมันกลมกล่อมนะ ตอบโจทย์ทั้งชีวิตวัยเรียน ชีวิตรัก ชีวิตวัยทำงานใหม่ๆ หรือแม้แต่ประเด็นการแต่งงาน ชอบหนังแนวนี้ coming of age มากๆ ของทั้งสองตัวละคร ไม่ใช่หนังปาร์ตี้ดาดๆนะเออ ใครค้นหาความหมายของชีวิต ความหมายของความรัก ไปดูนะคะ ว่างๆก็ไปหา “ปรัชญาชีวิต” ของ คาลิล ยิบราน มาอ่านด้วย

 

สิ่งที่ชอบ

– การดีเบทถกเถียงเรื่องความรักแบบหนักๆ ไดอะลอคคมมากตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งทุกคนจะเห็นบ้างแล้วในเพลงที่ยกตัวอย่างมา แต่ขอบอกว่าในเรื่องมีเยอะกว่านั้นมาก

– ชอบโมเม้นปิดเรื่องที่นั่งดูดาวกัน แล้วโจ้หันมาบอกเลี้ยวว่า โคตรสวย ไม่ใช่ดาวที่สวย หรือเลี้ยวที่สวย แต่เป็น “ความรัก” ต่างหากที่สวยงามในโมเม้นนั้นสำหรับโจ้

– ขุ่นแม่มาช่า เปิดตัวมาด้วยเสื้อเชิ๊ตลายเสือดาว ดูเป็นเจ๊ในอุดมคติมากๆ บทส่งมากๆ

– เกมเต็มสิบ การตั้งคำถามในวงเหล้า พร้อมปิดท้ายที่ว่า เต็มสิบมึงให้เท่าใหร่ ทำให้เราคิดคามตัวละครเลยนะ มึงคิดว่ากูจะอยู่กับมึงตลอดไป เต็มสิบให้เท่าใหร่ ซึ้งมากชอตนี้

– เพลงเต็มมาก ไม่ว่าจะเป็น ใจนักเลง ของพงษ์พัฒน์ / ใจความสำคัญ ของ musketeer  / one life จาก บูมบูมแคช / อื่นๆ กลับมาค้นยูทูปกันใหญ่แน่นอน หลายๆเพลงอื่นๆ เพราะมาก ๆ รำลึกความหลังมาก ดาเอนโดรฟินเอย โจ้วงพอสไรงี้

สิ่งที่ไม่ชอบ

– มีบทนักแสดงบางคนแหลมออกมา ไม่กลมกลืนไปกับเนื้อรื่อง เช่นบทของเจ็ท (สงกรานต์เดอะวอยซ์) คือไม่เนียนไปกับเนื้อเรื่องโดยรวม

– ไม่ได้ยินเสียงร้องของตัวแม่เหล็กทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นอ๊อฟปองศักดิ์ ป๊อปปองกุล หรือมาช่าเอง เสียดายมาก

– เวลาของเรื่อง คืองง บอกว่าสี่ทุ่ม หอประชุมปิด แต่ฉากนั่งคุยกันเห็นหน้าต่างคือ สว่างไปใหน

 

เต็มสิบให้ 9 เลยค่ะ

ใส่ความเห็น

Filed under ไม่มีหมวดหมู่

อย่าทิ้งฉันจนวันนึงเมื่อเรื่องราวต่างๆจบลง The eyes diary Vs The Couple

4878

ช่วงนี้หนังผีไทยเข้าโรงเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นจากคำม่วน คือเรื่อง The eyes diary คนเห็นผี หรือว่างเรื่อง รัก ลวง หลอน : The Couple ซึ่งมีโอกาสได้ไปดูทั้งสองเรื่องเลย ตอนแรกกะว่าจะไม่เขียนอะไรละ แต่ว่าพบจุดลิงค์ของทั้งสองเรื่องเหมือนภาพตัดสลับ เกิดการเปรียบเทียบอย่างช่วยไม่ได้ค่ะ

เรามาเข้าสู่โลกแห่งวรรณกรรมเปรียบเทียบ (comparative literature) กันค่ะ

———————————–

เริ่มต้นที่พลอตกับแนวคิดของเรื่องกันค่ะ

1723862_522552004556012_4451414869717898000_n

The eyes diary

****มีการเปิดเผยเนื้อหาของเรื่อง หากตั้งใจจะไปดูควรข้าม

ในเรื่องนี้เกี่ยวกับ นอต ที่ประสบอุบัติเหตุทำให้เขาสูญเสีย ปลา แฟนสาวที่เขารักมากๆ และเค้าก็ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้เห็นผี เพื่อที่จะได้พบเจอปลา ได้พูดกับเธออีกครั้ง เค้าไม่เคยทิ้งสิ่งของของปลาแม้แต่ชิ้นเดียว เพราะเขาเชื่อว่า วิญญาณจะผูกพันกับสิ่งของ เขาทดสอบทฤษฎีของเขาเองด้วยการสะสมข้าวของคนตาย หรือที่เราเรียกว่าผีตายโหง เพื่อนๆ ของเขาต่างกล่าวถึงความเฮี้ยนที่ได้เจอ และสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวนอตไว้คือ เขายังคงเชื่อ ว่าวันนึงเขาต้องเห็นปลาให้ได้ เขาทดสอบตัวเองด้วยการลองของแรงขึ้นเรื่อยๆๆๆ จนไปจบที่การล่าท้าผีที่โรงพยาบาลร้าง และทำให้เขาได้เห็นผีสมใจ ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

แนวคิดของเรื่องคือ คุณจะทำอีกแค่ใหนเพื่อคนที่คุณรัก แม้คุณทำผิดพลาดไป และคุณมีโอกาสทำให้มันถูกต้อง คุณจะทำมันมั้ย ? ถึงเลิกกันแล้ว ยังคืนดีได้ กลับมาหากันได้ แล้วถ้าตายล่ะ จะหาทางเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันมั้ย?

273147-5425bd0e6e485

The Couple

ในวันแต่งงานของกานต์และอ้อม อ้อมพบศพของสิตา พี่สะใภ้ของกานต์ในห้องน้ำในบ้านของพวกเขาเอง สามพี่น้องเจ้าของโรงงานหลอมคือ กุลพี่สาวคนโต  กรพี่กลางสามีของสิตา และกานต์ จึงต้องหาทางออกให้ชีวิตของพวกเขา ทั้งเรื่องธุรกิจ และเรื่องครอบครัว หลังจากแต่งงานอ้อมมีอาการแปลกๆ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าผีสิง โดยผีก็ไม่ใช่ผีที่ใหน คือวิญญาณของสิตานั่นเอง คุณมุกเลขาของครอบครัวกานต์จึงหาวิธีช่วย เธอบอกว่าวิญญาณจะสิงสู่อ้อมจนกว่าจะได้สิ่งที่มันต้องการ หรือจนกว่าอ้อมจะสู้วิญญาณร้ายได้ ผีร้ายสิตาเริ่มจัดการเก็นล้างแค้นทีละคนๆ และปิดท้ายด้วยการไล่ฆ่าคนในครอบครัวของกานต์เอง เพราะครอบครัวกานต์ก็มีเรื่องภายในที่เน่าเฟะไม่แพ้กัน ไม่ว่าการส่งคนไปบรรณาการนักการเมืองเพื่อธุรกิจของครอบครัว

แนวคิดของเรื่องคือ คุณจะรักษาคำสัญญาได้แค่ใหน และเมื่อคนรักของคุณออกนอกลู่นอกทาง คุณรับได้มั้ย และคุณเชื่อมั่นมั้ย ว่าเค้าจะกลับมาเหมือนเดิม สรุปแล้ว รักแท้ของหนุ่มสาว และสายสัมพันธ์ของครอบครัว อย่างใหนจะชนะกันแน่

จุดเชื่อม

* ประเด็นแรกยกให้กับเรื่องการกลับมาแก้แค้นของตัวละครเอกหญิง ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสองกลับมาในรูปแบบของผี คือ สิตา และ ปลา ในการกลับมาแก้แค้นของผีสิตาเรียกว่าโหด ปะฉะดะ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่ในส่วนของการกลับมาแก้แค้นของ ปลา แนะนำให้ดูตอนจบของเรื่อง แล้วก็จะได้รู้ว่าหล่อนร้ายมาก แก้แค้นได้แนบเนียน ทรมานทรกรรมกันเสียเหลือเกิน ถึงนางพึ่งจะมาแก้แค้นท้ายเรื่อง แต่ชั้นขอบอกว่านางมาวิน ชนะเลิศ

** ประเด็นที่สอง ความมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งของพระเอก แน่นอนว่าเมื่อมีเรื่องความรักมาเอี่ยว ก็ต้องมีฉากง้องอน ทั้งสองเรื่องเลือกพระเอกที่เป็นแม่เหล็กสำหรับสาวๆ และมีบุคลิคคล้ายกัน  กับฟินมากกับฉากง้อตุ๊กตาของปั้นจั่น ในเรื่องคนเห็นผีและเล็บจิกขาสุดๆ กับฉากชวนอาบน้ำของไมค์ พิรัชต์ ในรักลวงหลอน

4758694826

*** ประเด็นที่สาม คำสัญญาของเรา ประเด็นนี้หยิบยกมาเป็น head ของ entry นี้กันเลยทีเดียว คือแบบว่า อย่าทิ้งฉันจนวันนึงเมื่อเรื่องราวต่างๆจบลง คำสัญญาของคนรักกัน บางครั้งมันอาจทำร้ายเราแบบไม่มีวันลืมก็เป็นได้ เมื่อ นอต สัญญาว่าจะไม่หยุดเชื่อมั่นว่าปลายังอยู่ข้างๆ เขาแม้ตายไปแล้ว เขาจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อคำสัญญานั้นแม้ว่าท้ายที่สุด เขาต้องทนเห็นปลา ในสภาพที่ไม่น่ามองก็ตาม หรือกานต์ ที่สัญญากับอ้อม ว่าจะไม่ทิ้งกันไปใหน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อวิญญาณสิตาสิงอ้อม และบังคับให้อ้อมฆ่าพี่น้องของตัวเองทั้งสองคน เค้าจะกลับมารักอ้อมได้เหรอ?

**** ประเด็นที่สี่ ฉาก เห็นได้ชัดว่ามีการใช้ฉากอย่างฉลาดในทั้งสองเรื่อง คือ ฉาก ในบ้าน และฉากที่เป็นจุดพีค ในรักลวงหลอนใช้ฉากโรงงาน ส่วนคนเห็นผี เป็นฉากโรงพยาบาลร้าง

***** ประเด็นที่ห้าตัวละคร ในเรื่องใช้ตัวละครประหยัด 5-6 ตัวเรื่องก็เดินไปได้หมดแล้ว

******ประเด็นที่หก เพลงประกอบ ทั้งสองเรื่องเรียกได้ว่าคัดเพลงมาอย่างเฉียบ เคยนั่งคิดเล่นๆเหมือนกันว่าเพลงไทยหลายๆเพลงมันหลอนด้วยเนื้อหาอยู่แล้ว ถ้ามาเจอเสียงโหดๆ กลายเป็นเพลงผีแน่นอน สำหรับเรื่องคนเห็นผีเลือกใช้เพลงใหม่ และนักร้องหน้าใหม่ โปรโมทอลังการในteaser และเปิดตามโรง ดูมีพลังมาก แต่ไม่รู้มะเดี่ยวพลาดตรงใหน ในเรื่องกลับแทบไม่ปรากฏเมโลดี้ของเพลงเลย

ในขณะที่เรื่อง รัก ลวง หลอน เลือกเพลงเก่า คือเพลง หยุด นำมาขับร้องใหม่โดยพี่ปุ๊ อัญชลี เปิดคลอแทบตลอดทั้งเรื่อง ลืมเวอร์ชั่นแบ้วใสตอนที่เอาไปประกอบ season change ได้เลย หลอนสลัด!!

———————————————–

ชอบ

ผี — ชอบผีปลาจากเรื่องคนเห็นผีมากกว่า นางครบรส

ดนตรี — ชอบทั้งสองเพลง น้ำตาจะไหล แต่เรื่องของการนำไปใช้ในเรื่องยกให้เพลง หยุด ขับร้องโดยพี่ปุ๊ อัญชลีค่ะ

ความน่ากลัวโดยรวม — คนเห็นผีจะเน้นผีโต้งๆ ส่วนรักลวงหลอนเป็น ผี+ฆาตกรรม ออกแล้วโคนัน คินดะอิจิ ว่ากันไป เรากลัวผีแบบโต้งๆ มากกว่า ให้คนเห็นผีค่ะ

ไม่ชอบ 

การขาดจุดเชื่อมง่ายๆ ที่ไม่น่าให้อภัยของทั้งสองเรื่อง เช่น ที่มาของตัวละครเสริมบางตัวอย่างคุณมุก เลขาของตระกูล หรือว่า มดตะ เพื่อนพระเอกที่แสนน่ารำคาญในคนเห็นผี น่าจะมีที่มาที่ไปมากกว่านี้ เสียดายบท และเสียดายตัวละคร คือดูมีอะไรมาก แต่กลับไม่มี

 

คะแนน

The eyes diary — 7 

The Couple ——- 7.5 คือ นางเฉือนชนะไปด้วยแนวคิดของเรื่องอะ นี่ซึ้ง นี่ให้

ใส่ความเห็น

Filed under ไม่มีหมวดหมู่

Divergent —- ฉันมันนอกคอก !

divergent

divergent (ไดเวอ’เจินทฺ)
adj. แตกต่างกัน, ผันแปร, ซึ่งเบนออก, ซึ่งห่างประเด็น, หลากหลาย

มีโอกาสได้ไปดูหนังที่ใกล้จะออกโรงอยู่แล้วเต็มแก่เพราะโดนกัปตันอเมริกาเบียดตกบอกซ์ออฟฟิศ อย่างเรื่อง Divergent : คนแยกโลก เพราะความอุปการคุณตั๋วหนังฟรีจากพี่ร้านกาแฟ Caffe Bearista แถว ๆ สันติธรรมนี่เอง พี่แกใจดีม๊ากกกก

ยอมรับว่าตอนแรกหนังเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในสายตานะคะ ดูท่าทางจะเกร่อ เป็นหนังเกรดบียังไงไม่รู้ แต่พอไปที่โรงแล้วก็บังเกิดความอยากเอาชนะกระแสสังคมเพราะ สตีฟ โรเจอร์ มาแรงเหลือเกิน เราก็ต้องหลบกระแสสังคมกันค่ะ

ตอนเปิดเรื่องของเรื่องนี้เริ่มต้นด้วยการฉายให้เห็นภาพรั้วที่ล้อมเมืองใหญ่ เพราะว่าโลกใบนี้เสียหายจากสงคราม เหล่าผู้ก่อตั้งเมืองนี้ จึงได้สร้างรั้วขึ้นเพื่อปกป้องเมือง (จากอะไร?) และร่วมกันวางรากฐานของเมืองโดยการแบ่งคนออกตามลักษณะนิสัยของพวกเขา ให้พวกเขามีหน้าที่ต่าง ๆ กันไป

divergent-iron-on-patches-summit-booth

 

Abnegation ผู้อารี — ได้รับความไว้วางใจจากทุกฝ่าย เพราะเสียสละและอารี จึงได้รับการมอบหมายให้เป็นรัฐบาลในการปกครอง

Candor ผู้พิพากษ์ — พูดแต่ความจริง ตรงไปตรงมาเสียจนน่าเกลียด พวกเขาจึงได้ว่าความ พิพากษา

Erudite ผู้รอบรู้ — ฉลาดเป็นกรด ทำไมพวกเขาไม่ได้ปกครองนะ? นั่นก็เพราะพวกเขาไม่ได้ความไว้วางใจจากคนอื่นไงล่ะ

Amity ผู้เก็บเกี่ยว — ชีวิตฉันฮิปปี้ รักอิสระ อยู่กับธรรมชาติ ทุ่งหญ้า และการเก็บเกี่ยว พวกนี้มีไร่อยู่นอกรั้ว ดูแลเสบียงอาหารของคนทั้งเมือง

Dauntless ผู้ห้าวหาญ — พวกเขาฝึกฝนอย่างหนักทั้งกายและใจ ขึ้นชื่อว่าไร้ความกลัว เปรียบเสมือนตำรวจ

 

5 เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่คานอำนาจซึ่งกันและกัน และจะมีผู้ที่ไม่สังกัดฝ่ายใด ถูกทอดทิ้งให้โหยหาอยู่ข้างนอก ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย

 

ทั้งหมดจะถูกคัดเลือกเมื่อถึงเวลา โดยมีแบบทดสอบความถนัดเฉพาะ เพื่อจะบอกว่าเขาเหมาะกับอะไร หรือว่าพวกเขาอาจจะเลือกเป็นในสิ่งที่เป็นเองก็ได้ แต่จะไม่มีวันเปลี่ยนกลับมาได้อีก แหม่ะ หลักสูตรการ coming out of age ของตัวละครง่าย ๆ  (ที่เห็นได้ชัดก็มี พิธีเก็บเกี่ยวใน hunger games หรือการไปเข้าฮอกส์วอร์ตของแฮรี่ พอตเตอร์ เป็นต้น) ละทีนี้แม่นางเอกของเรานางก็จะรู้สึกว่านางช่างอยู่ผิดที่ผิิดทางเสียจริง พ่อแม่ของนางอยู่ในกลุ่มผู้อารี แต่จริง ๆ แล้วนางไม่ได้รู้สึกแบบนั้นซะหน่อย ทำไมฉันต้องอารีด้วยล่ะคะ ! เมื่อเข้ารับการทดสอบ นางก็ได้รู้ว่า ฉันมีความพิเศษ ตรงที่ว่า ฉันเป็นได้ทุกอย่าง ใน 5 สิ่งนี้ เพราะฉันคือ ไดเวอร์เจนท์ !!

ไดเวอร์เจนท์แตกต่างจากคนเร่ร่อนตรงที่ว่า คนเร่ร่อนคือคนที่ตกชั้น ไม่มีใครยอมรับ แต่ไดเวอร์เจนท์มั่นหน้า ฉันอยู่ได้ทุกที่ไง เริ่ดแมะ

แต่ด้วยสถานการณ์ที่ล่อแหลม ก็ปรากฏว่า ไดเวอร์เจนท์จะต้องถูกตามล่า เพราะระบบสังคมไม่รองรับคนที่เป็นอะไรก็ได้ คนอะไรแม่งถนัดทุกอย่าง นางเอกของเราจึงจำเป็นต้องปิดซ่อนความเป็นตัวตนไว้ แล้วก็ได้รับคำแนะนำมาว่า จงเลือกเป็นเหมือนคุณพ่อคุณแม่ของเธอซะ !!

 

Spoil Alert —– คลุมเพื่ออ่าน

นางเอกของเราจึงเซอร์ไพรซ์ด้วยการเลือกไปอยู่ Dauntless และปิดซ่อนความเป็นไดเวอร์เจนท์ไว้ แต่ธรรมชาติของไดเวอร์เจนท์ที่ทั้งเฉลียวฉลาด ห้าวหาญ อารี และช่างสงสัยในเวลาเดียวกัน จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่นางจะปกปิดความโดดเด่นของนางไว้ได้ แต่ก็มีพระเอกของเราคอยช่วยอยู่ห่าง ๆ ให้นางเอกมีร่างกายที่แกร่ง ชนะคู่ต่อสู้ และจิตใจที่แกร่งยิ่งกว่า เมื่อชนะความกลัวในตัวเอง เนื้อเรื่องดำเนินเข้มข้น เมื่อผู้รอบรู้ Erudite ไม่อยากอยู่ใต้อำนาจใครอีกต่อไป พวกเค้าจึงพยายามยึดอำนาจ โดยใช้มันสมองของพวกเค้าร่วมกับอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ในการควบคุมคนจาก Dauntless เพื่อยึดอำนาจจากเหล่า Abnegation พูดง่าย ๆ คือ ควบคุมกองทัพให้ไปฆ่ารัฐบาลนั่นเอง

แต่ด้วยความพิเศษของพระเอกนางเอกของเราที่ไม่มีใครควบคุมได้ เพราะมีจินตนาการและความห้าวหาญสุดล้ำ พวกเค้าจึงให้ทุกสิ่งที่เขามี ทั้งไหวพริบ ความฉลาด ความกล้าหาญ และความเห็นใจในการต่อกรศึกครั้งนี้

หนังสูตรสำเร็จค่ะ แฮปปี้เอนดิ้ง 100% โอเคนะ

 

เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้พยายามเล่นเรื่อง conceptualize ในเรื่องของการวิพากษ์สังคมทุนนิยม ระบบสายพานของเมืองหลวง ที่มีการแบ่งคนออกเป็นส่วน ๆ ตามความถนัดและหน้าที่ เหมือนที่เราแบ่งกันเรียนตามคณะในมหาวิทยาลัย จนทำให้เราไม่ทราบว่า เราทำอะไรได้บ้าง บางที เราอาจจะเก่งได้มากกว่าหนึ่งอย่างก็เป็นได้ แต่สังคมกำลังบีบบังคับให้เราเลือกเป็นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่ามากกว่านั้น

ภาพในตอนเริ่มเรื่องที่มีการฉายภาพรั้วเปรียบเสมือนการตีกรอบสังคมให้คนทำตาม รอกระโยงระยางที่เชื่อตามตึกต่าง ๆ ก็ทำให้นึกถึงสายพานจริง ๆ ได้อย่างประหลาด ฝ่ายผลิตไม่ยุ่งกับฝ่ายออกแบบ ส่วนฝ่ายขาย ก็ขายของไป ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องการ ช่างแยกเป็นส่วน ๆ เสียนี่กระไร

 

สรุปแล้ว เรื่องนี้มีสองประเด็นนะจ๊ะคือ 1. conceptualize และ 2.coming out of age แต่ฉันอยากจะบอกว่า เป็นส่วนผสมที่แย่มากนะคะ แล้วก็ยังเอามาผสมกันไม่กลมกล่อมอีก เพราะว่าโดยส่วนตัวถ้าจะทำหนังชวนคิดเนื้อเรื่องต้องไม่เยิ่นเย้อ แล้วก็ไม่ต้องเจาะที่ตัวละครเอกมาก สองอย่างนี้มารวมกัน เกิดยากค่ะ (ยกตัวอย่างเรื่องที่เอาสองเรื่องนี้มาผูกกันแล้วรสชาติโอเคคือ “รักแห่งสยาม”)

 

5 เต็ม 10 ค่ะ ถ้าอยากฆ่าเวลาก็เชิญไปชมกันนะคะ ดีนะที่เราได้ตั๋วฟรี  > <

 

สิ่งที่ไม่ชอบ

1. เสียงโมโนโทนของพระเอก ตื่นเต้น ดีใจ เสียใจ เสี้ยนอยากได้นางเอก  เสียงเดียวกันหมด ยอม

2. นางเอก ยังไม่มีความโดดเด่นพอ ขนตาคือไล บลอคตาน้ำตาลคือไล ตัวละครไม่มีที่มา และไม่รู้ว่าจะยังไงต่อ ??

3. การผูกเรื่องของการล้มระบบสังคม เข้ากับ การโตเป็นผู้ใหญ่ของนางเอก เพื่อ ??

4. ฉากต่อสู้ มึงจะใส่มาทำไมเยอะคะ ? แล้วนางเอกก็ปวกเปียกมาก ดูไม่เป็น fighter เลย

5. การปิดเรื่อง เป็นฉากรถไฟกำลังวิ่งไปที่รั้ว คือไล รั้วมีชานชาลาตั้งแต่เมื่อใหร่ แล้วจะไปใหนกันคะ ใหนว่าข้างนอกพังทลายแล้ว

6. ชื่อไทยพินาศมากค่ะ คนแยกโลก คืออะไรคะ แยกไปใหน โลกยังไง ทั้งเรื่องอยู่ในเมืองเมืองเดียว

 

สิ่งที่ชอบ

1. พระเอกของเรา นาย Theo James ที่ให้กลิ่นอายของ Jame Franco อยู่หน่อย ๆ  ดูมีสเน่ห์ค่ะ

2. การใช้สี แบ่งคนออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามสี สีน้ำเงินคือความรอบรู้ สีน้ำตาลสำหรับเหล่าผู้เก็บเกี่ยว สไตลิสต์ทำงานดีมาก ชุดเชิดดูมี theme และไม่ซ้ำ

3. การเปิดเรื่อง เหมือนจะดี ฉากอลัง ดูตั้งใจทำ

4. มีแค่นี้แหละที่ชอบ พูดจริง ๆ นะ

 

MV5BNDc3MjA5NTcxMF5BMl5BanBnXkFtZTcwNDc3NTQ3OQ@@._V1__SX1619_SY864_

 

1 ความเห็น

Filed under ไม่มีหมวดหมู่

เมื่อฉันมีเวทย์มนตร์ —- Now you see me !!

วันดีคืนดีไปดูหนังมาค่ะคุณ ๆ ขา ก่อนอื่นขอบ่นค่ะว่าห้างเชียงใหม่รีบ ๆ เปิดนะคะ เหมือนว่าเซ็นทรัลแอร์พอร์ทเชียงใหม่ตอนนี้รองรับคนไม่ไหวแล้วค่ะ แน่นไปใหนกันคะ พี่มาทำอะไรกันคะ ? รถจอดเต็ม คนขวักไขว่มาก รอเมย่าเปิด เซ็นทรัลเฟสติวัลเปิด ก็ท่าจะแบ่ง ๆ กันไปละ แต่พรอมเมนาดาไม่ไหวมั้งคะ ไกลเกิน – –

 

เอาค่ะ ระบายยาวเกินไปแล้วนะคะ เรื่องที่ไปดูมาวันนี้คือ Now you see me !!

เรื่องนี้ลุงผู้กำกับชาวฝรั่งเศสคนนี้เค้าเคยกำกับเรื่อง The Incredible Hulk มาแล้ว (อื่น ๆ ด้วยจำได้ไม่หมด)ไม่ต้องแปลกใจที่ว่าภาพและเทคนิคการถ่ายทำของเค้าจะหวือหวา ออกแนวแฟนตาซีนั่นนี่นะคะ แถมยังมีการสอดแทรกมุขขำ ๆ เกี่ยวกับคนฝรั่งเศสไว้เยอะทีเดียว

เนื้อเรื่องนางดำเนินเป็นเส้นตรงค่ะคุณขา ผ่านมุมมองชนิดที่เรียกว่า god’s view เลยล่ะคะ ไม่มีการกั๊ก เพราะวางปมอะไรไว้นางก็เฉลยเองทุกครั้งแหละ

          รูปภาพ

เรื่องย่อมันมีอยู่ว่า มีการเรียกตัวนักมายากลชื่อกระฉ่อนมาทั้งสิ้นสี่คนโดยบุคคลลึกลับไปไล่แจกการ์ด ทั้งสี่ก็จะมีเมอร์ริท (ไพ่สังฆราช)  แดเนียล (ไพ่คนรัก) เฮนลี่ (ไพ่นักบวชหญิง) แล้วก็ แจ็ค (ไพ่มัจจุราช – แจ็คน่ารักมากขอบอก) โดยที่สี่คนนี้ต้องทำการทดสอบเพื่อเข้าร่วมองค์กร The Eye เป็นองค์กรที่สร้างขึ้นมาเพื่อรวบรวมนักมายากลเก่ง ๆ ทั่วโลก (เห็นว่าเรื่องพวกนี้จะมีต่อในภาคสอง)

ทั้งสี่เริ่มโชว์มายากลระดับยิ่งใหญ่ด้วยการปล้นธนาคารฝรั่งเศส ซึ่งมันก็ไม่ได้ปล้นกันจริง ๆ แต่เป็นทริคที่ตระเตรียมเอาไว้อย่างมีสเต็ปตามแบบนักมายากล แล้วเงินก็หายจริง ๆ ตำรวจ FBI เลยพุ่งเข้ามาจัดการพร้อมตำรวจสากลที่จับตัวทั้งสี่มาสืบสวนแต่แล้วก็ต้องปล่อยไปด้วยลูกไม้ที่แพรวพราว แถมตำรวจยังถูกติดเครื่องดักฟังด้วยนะ

อีกคนที่เข้ามามีบทบาทคือนักแฉมายากล ที่คอยจับผิดและเฉลยกลโกงต่าง ๆ จนทำให้มีนักมายากลตกอับมาหลายรายเลยนะเออ ลุงคนเนี้ยก็ติดตามนักมายากลกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด อารมณ์ประมาณว่า กุจะแฉมึงให้ได้ อะไรเงี้ย

พอถึงโชว์ที่สองเค้าก็จัดที่แคนาดา กลนี้มีความหลากหลาย เล่นกันหลายอย่างตั้งแต่สะกดจิตหมู่ ปาไพ่ กลลูกโป่งน้ำ ไฮไลต์ของงานคือการปล้นเงินจากบัญชีสปอนเซอร์หลักของนักมายากลเอง ที่เป็นบริษัทประกันและไม่ยอมจ่ายเบี้ยประกันหลาย ๆ อย่าง เล่นเอาเงินไปเลยทีเดียวพอถึงรอบนี้ตำรวจก็เริ่มไล่ล่าอย่างเป็นเรื่องเป็นราวแล้วค่ะ แบบว่าตามจับกันแบบเอาจริง ฉากบู้ยกให้แจ๊คค่ะ ทั้งปาไพ่ ปาลูกไฟ ราวกับมีเวทย์มนตร์จริง ๆ คือเอามายากลมาใช้ในการต่อสู้ ฟินมาก 

รูปภาพ

กลที่สามก็เป็นการท้าทายตำรวจอย่างเอาจริงเอาจัง โดยการจัดงานบนตึกเก่า ทั้ง ๆ ที่ตำรวจตามล่านั่นแหละ แต่ก็ด้วยความที่เป็นนักมายากลก็แว๊บไปแว๊บมา ตำรวจก็จับไม่ได้ซักที คนดูก็เยอะมาก แล้วก็หนีกันไปได้อีกหวุดหวิดมากค่ะคุณขา แล้วตอนหนีไปมีอารมณ์แบบว่าสลายร่างกลายเป็นเงินที่ปล้นมา แหม๊ะ มันเก๋จริง ๆ คุณแม๊ !!

 

สุดท้ายเงินที่โปรยก็เป็นเงินปลอม เงินจริงกลับไปอยู่ที่อีตาลุงนักแฉมายากลเต็มคันรถ ลุงนั่นก็โดนจับไปโดยปริยาย ติดคุกหัวโตชัวร์ สรุปแล้วการทำภารกิจต่าง ๆ ก็เพื่อฟื้นฟูมายากลให้กลับคืนมาโด่งดังอีกครั้ง ส่วนลุงคนแฉต้องโดนกำจัด !!

แล้วยังไงต่อ ใครบงการเบื้องหลังคะ ??  ไปดูเหอะ แบบว่าเฉลยแล้วดูไม่สนุก อารมณ์ บรูซ วิลลิส เป็นผี ไม่เฉลยนะคะ ไปดูเอา

 

สุดท้ายหนังเรื่องนี้ก็ชูธีมเรื่องที่ว่า บางอย่างมองดูใกล้ ๆ จะพลาดได้ค่ะ บางเรื่องก็ต้องมองภาพรวมๆ จะได้ไม่ต้องถูกหลอก ^ ^

 

สิ่งที่ชอบ

– ความอลังการของงานมายากล แต่ละโชว์คือเหนือจินตนาการ มีการหลอกคนดูแบบว่าอึ้งทึ่งมาก ๆ

– เฮนลี่ดูมีจริตจก้านมาก ๆ นางแย่งซีนเยอะอยู่นะคะ

– แจ๊คค่ะ น่ารักมาก ฉากสู้โดยใช้มายากลคืออลังการจริง ๆ อะไรจริง ปาลูกไฟ ปาไพ่ แอร๊ย

 

สิ่งที่ไม่ชอบ

– จังหวะของเนื้อเรื่อง เป๊ะเกินไป ลงล็อคเกินไป บางอย่างไม่มีทางเป็นไปได้จริงถึงแม้จะเป็นแม่มดก็เถอะ

– ตอนจบ เหมือนการเปิดแบไต๋ที่เซอร์ไพรซ์หนักเกินจนไม่สมเหตุสมผล หลอกกูมาทั้งเรื่องเลยนะมึง

– ฉากขับรถไล่ล่าค่ะ จะใส่มาทำไมเยอะคะ มายากลค่ะ มายากล เอาดี ๆ

 

6.5 เต็มสิบค่ะ ให้เพราะความตระการตาของมายากลนะคะ ส่วนการเฉลยปมท้ายเรื่องมันไม่มีมูลเหตุเพียงพอเลยค่ะ น่าจะวางฐานมาอีกนิด

1 ความเห็น

Filed under ไม่มีหมวดหมู่

Upside Down : เธอมันชั้นต่ำ !

รูปภาพในวันอังคารที่แสนวุ่นวายนี้ได้แอบแว่บไปดูหนังเรื่องหนึ่งค่ะ นั่นก็คือเรื่อง Upside Down เรื่องนี้จัดอยู่ในลิสต์แต่แรก เพราะตัวดิชั้นเองจัดได้ว่าเป็น Big Fan ของป้า Kirsten Dunst เลยนะคะ เพราะดูผลงานเค้ามาตั้งแต่ Jumanji ตั้งแต่ปี 1995 ใหนจะ Wag the dog และ Lucky town ที่ชอบมาก ๆ หรือหนังตลาด ๆ อย่าง สไปเดอร์แมนก็ตามมิได้ขาด พอไปดูเรื่องนี้ก็เห็นเลยว่าป้าแกเริ่มหน้ายับแล้วนะ แต่ก็โอเคอยู่ในมุมมองของแฟนคลับตัวยงนะคะ

หนังเป็นสูตรสำเร็จนะคะ ดูแล้วฟีลกู๊ด เดาตอนจบได้ไม่ยาก พระเอกน่ารัก นางเอกเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้ชม แต่ในขณะเดียวกันก็มีการสอดแทรกเรื่องราว แนวคิดเรื่องจิตวิญญาณที่แบ่งเป็นสองส่วน ซึ่งสองส่วนนี้จะตามหากัน เพราะเป็นคู่แท้ หรือแม้แต่ทฤษฎีการชนกันของจักวาล หรือแรงดึงดูดสองขั้ว แปลกดีค่ะที่เห็นภาพทางทฤษฎีในจินตนาการที่เคยอ่านในนวนิยายเชิงวิทยาศาสตร์ ออกมาเป็นภาพที่สวยงามเช่นนี้ เนื้อเรื่องกล่าวถึงโลกใบหนึ่งที่มีแรงดึงดูดสองขั้ว บนและล่าง เล่าเรื่องผ่านมุมมองของชายคนหนึ่งซึ่งก็คือตัวเอกของเรื่อง โลกทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งสภาพความเป็นอยู่ สภาพเศรษฐกิจ ท่ามกลางกฏสามข้อของแรงโน้มถ่วงซึ่งดิชั้นจำรายละเอียดไม่ได้แล้ว มันน่าเบื่อมาก รู้แต่ว่า วัตถุของโลกตรงข้ามจะอยู่ในอีกโลกหนึ่งได้ไม่นาน เพราะมันจะเกิดการเผาไหม้จากแรงกดอากาศที่สลับขั้วอย่างสิ้นเชิง โลกเบื้องบนจะถูกเรียกว่า upper ส่วนโลกเบื้องล่างถูกเรียกว่า down below สิ่งเดียวที่เชื่อมโยงโลกทั้งสองคือ ทรานส์เวิร์ล ซึ่งเป็นตึกของบริษัททรานส์เวิร์ลที่เชื่อมต่อโลกทั้งสองโดยมีผลประโยชน์ คือดูดน้ำมันจากโลกเบื้องล่างและนำไปใช้ยังโลกเบื้องบน และส่งไฟฟ้ากลับมาขายให้โลกเบื้องล่างในราคาแพง ซึ่งทรานส์เวิร์ลนี้เคยระเบิด 1 ครั้งส่งผลให้คนในโลกเบื้องล่างเสียชีวิตจำนวนมาก รวมทั้งพ่อแม่ของตัวละครเอกคือ อดัม เคิร์ก ทำให้เขาต้องไปอาศัยอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า และมีญาติคนเดียวเหลืออยู่ คือป้าเบคกี้ ผู้ซึ่งเหมือนเป็นนักพฤกษศาสตร์ที่กุมความลับของภูเขาเสจ อันมีสิ่งที่สามารถข้ามไปมาทั้งสองโลกได้อย่างอิสระ นั่นก็คือ ผึ้งสีชมพู และผลผลิตของมันคือเกสรสีชมพูเป็นกุญแจที่ทำให้เรื่องราวทั้งหมดดำเนินไปในตอนท้าย

ด้วยความซุกซนในวัยเด็กของอดัม เขาปีนป่ายไปยังยอดสูงสุดของภูเขาเสจ และได้พบกับหญิงสาวที่ชื่อว่าอีเด็น มัวร์ แรกเริ่มหญิงสาวปฏิเสธที่จะพูดคุยด้วย เพราะเขาเป็นคนจาก down below แต่เหตุการณ์วันนั้นก็กลับกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของการสานความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทั้งคู่แอบไปมาหาสู่กันที่ยอดเขานั้นเสนมอ ๆ รวมไปถึงการข้ามฝั่งมาหาแบบต้านแรงโน้มถ่วงด้วย นั่นก็คือการปีนเชือก คล้ายการข้ามเขาเข้ามานั่นเอง วันหนึ่งเมื่อถูกจับได้อดัมรีบส่งตัวอีเด็นกลับไป แต่เขาถูกยิงเสียก่อน ส่งผลให้อีเด็นตกจากการปีนเขากลับหัวของนาง และอุบัติเหตุครั้งนั้นส่งผลให้นางความจำเสื่อม !! และอดัมก็ถูกจับแยกจากป้าเบคกี้ของเขา และเผาบ้านด้วย พร้อมทั้งถูกสั่งห้ามติดต่อคนจากโลกเบื้องบนอีก !!!

ยังไงคะคุณแม่ พอมาถึงตรงนี้แล้วขอบอกเลยว่า น้ำเน่ามาก น้ำเน่าสิ้นดี !! ไม่ต่างจากละครเมืองไทยที่คนสองคนต่างกันสุดขั้ว นางเอกความจำเสื่อม พระเอกยากจนมาจากสลัม แล้วพยายามมารักกันอีก โอ้ยยยยยย ยังไงยังงั้นค่ะคุณ แต่กระนั้นดิชั้นก็ยังมองหาสิ่งดี ๆ ของเรื่องนี้ต่อไปค่ะ อย่างน้อยก็ไม่มีตบจูบ และไม่มีนางร้ายมากรี๊ดกร๊าดแล้วกัน มีแก่นเรื่องที่ว่า ความรักนั้น มีพลังมากกว่า แรงโน้มถ่วง หรือแรงดึงดูดใด ๆ ดูแล้วนึกถึงเพลงนึงค่ะ คือเพลง defying gravity โอ้ยซึ้ง – –

เนื้อเรื่องดำเนินต่อไปที่อดัมใช้ชีวิตแบบไร้จุดหมายที่โลกเบื้องล่าง โดยไม่รู้ว่าอีเด็นยังมีชีวิตอยู่ เขาตัดสินใจใช้ประโยชน์จากเกสรสีชมพูที่เขาเรียนรู้มาจากป้านำมันมาใช้ประโยชน์ค้นคว้าเพื่อสร้างครีมยกกระชับใบหน้า สาว ๆ คงทราบกันดีนะคะว่า ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของเรานั้นเกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อ และแรงดึงดูดของโลก ซึ่งผลของเกสรสีชมพูนั้น พูดง่าย ๆ คือ ต้านแรงโน้มถ่งของโลกว่างั้นเถอะ (ถ้าคุณดูดี ๆ คุณจะเห็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้เยอะมาก แถมผู้กำกับก็ไม่อธิบายรายละเอียดด้วยนะคะ ทำให้ผู้ชมกระอักกระอ่วนพอควร) แต่ในทันทีที่เขารู้ว่าอีเด็นยังอยู่ และเธอทำงานที่ทรานส์เวิร์ล เขาตัดสินใจนำผลิตภัณฑ์ของเขาไปเสนอที่ทรานส์เวิร์ลและเข้าทำงานที่นั่นเพื่อหวังได้เจอเธออีกครั้ง เขาวางแผนทุกสิ่งอย่างเพื่อหวังได้เจออีเด็นผ่านการช่วยเหลือของชายจากโลกเบื้องบนที่ชื่อว่าบ๊อบ

ความพยายามของเขาเป็นที่ประทับใจค่ะ เขาได้เจอกับอีเด็นจนได้ แต่อีเด็นจำเขาไม่ได้ และสถาณการณ์ระหว่างสองโลกก็ไม่น่าพิศมัยนัก ทันทีที่เขาถูกจับได้ว่ามาจากโลกเบื้องล่าง แน่นอนว่าเขาถูกไล่ล่าแบบสุด ฉากพวกนี้แหละค่ะ ที่ทำให้เรื่องนี้ตระการตา ไม่งั้นเรื่องนี้ได้ศูนย์คะแนนจากดิชั้นแน่นอน มีอยู่ฉากนึงที่พระเอกตกมาจากซากบอลลูนยักษ์ ดิชั้นเดาได้แต่แรกค่ะว่าพระเอกไม่ตายแน่นอน ซึ่งก็ไม่ตายจริง ไปติดอยู่บนคาคบไม้แทน อารมณ์เสียมากค่ะ โชคดีเกิน หลังจากนั้นไม่นานเข้าก็ลอบพบกันกับอีเด็นอีกครั้ง และได้เสียกันที่ยอดเขาเสจ (หลาย ๆ คนอาจจะเคยอ่านข่าวที่ว่านาซ่าเคยทำการทดลองเกี่ยวกับการมีเซ็กส์ในระบบสุญญากาศเมื่อเกือนสิบปีที่แล้ว) ในขณะเดียวกันบ๊อบก็ได้สานต่อการทดลองของอดัม คือ การผสานของเหลวจากทั้งสองโลกในปริมาณเท่ากัน และใช้ผงเกสรสีชมพูเป็นตัวเชื่อม และเมื่อคนดื่มน้ำนั้นเข้าไปก็จะทำให้เขาข้ามไปอีกโลกนึงได้อย่างสบาย ๆ (อิงถึงหลักวิทยาศาสตร์ที่ว่าร่างกายของมนุษย์มีส่วนประกอบเป็นน้ำกว่า 90 %)

ไคลแมกซ์ของเรื่องคือ อีเด็นตั้งท้องค่ะคุณ นั่นหมายถึงว่า ในร่างกายของอีเด็นมีสารประกอบจากโลกเบื้องล่างอยู่ในร่างเธอ จึงทำให้เธอสามารถมาอยู่โลกข้างล่างได้ และนั่นเองก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมโลกทั้งสองใบเข้าด้วยกัน จบแค่นี้ค่ะ ใครไม่พอใจไม่เข้าใจก็ดูอีกรอบ อยู่ดี ๆ อยากจบก็จบซะงั้น

*********************
การวิเคราะห์

– upper กับ down below มีนัยยะระหว่างบรรทัดซ่อนอยู่ หลาย ๆ คนก็คงพอดูออกนะคะ อะไรเอ่ยมาสูบน้ำมันแล้วส่งไฟฟ้ากลับมาขาย การเรียกคนเบื้องล่างว่า down below และเรียกคนเบื้องบนว่า upper นี้คือการเปรียบเทียบอย่างจงใจรึปล่าวก็มิทราบนะคะ ว่า upper คือประเทศโลกที่ 1 ส่วน down below นั้นคือประเทศโลกที่ 3 ที่สามารถไปมาหากันได้ท่ามกลางกฏเกณฑ์บางอย่าง สิ่งที่ภาพยนตร์สื่อออกมาคือการนำเสนอภาพของระบบทุนนิยมออกมาอย่างโต้ง ๆ การพยายามข้ามผ่านจากโลกล่างไปสู่โลกบนนั้นก็เหมือนกับการพยายามอัพเกรดสถานะทางสังคม เหมือนที่พาโบล เพื่อนของอดัมกล่าวไว้ว่า “ทำไมเธอจึงหลงใหลในโลกเบื้องบนนัก” ซึ่งอดัมเองก็ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ เขาได้แต่พยายามมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมเพื่อจะข้ามไปยังโลกเบื้องบน qoute นี้เองค่ะที่ทำให้เห็นภาพนี้ชัดเจนขึ้นในหัวสมองดิชั้น

สิ่งที่ชอบ

1. พระเอกของเราค่ะ ทำหน้าเด๋อด๋าได้ตลอดเวลา น่ารักน่าชัง แต่หน้าดันไปละม้ายคล้ายกับอีตาปาร์คเกอร์ฝรั่งร้านเกมหลังมอซะงั้น 55+

2. การตัดภาพไปมาระหว่าง upper กับ down below มันได้จังหวะ เหมาะเจาะพอดีน่าสนใจมากค่ะ

3. ภาพเมฆ หรือภาพของยอดเขาเสจ จัดมาสวยงาม องค์ประกอบดีค่ะ

สิ่งที่ไม่ชอบ

1. เนื้อเรื่องไม่เปิดเผยสิ่งที่ควรเปิดเผย เช่น เรื่องผึ้ง หรือเรื่องทฤษฎีของพระเอก มันหายไประหว่างบรรทัด จะให้ดิชั้นทราบได้อย่างไรคะแบบนี้

2. คริสเตียน ดันส์ เรื่องนี้นางดรอปไปมาก ทั้งเรื่องอารมณ์ในการแสดง และหน้าตา หน้ายับแล้วนะคะป้า รู้ตัวป่าวก็ไม่รู้

3. ความเรียบของภาพ มันเรียบเกินไปค่ะ แบบนี้ไม่ต้องทำออกมาเป็น 3D ก็ได้นะคะ

* ดูสนุก ๆ ในเวลาว่างแก้เครียดกับเพื่อน ๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก เพลิน ๆ ไปกับภาพและความหวือหวาของทฤษฎีก็โอเคอยู่ค่ะ

** ให้ 6.5 เต็มสิบนะคะ

ใส่ความเห็น

Filed under ไม่มีหมวดหมู่

2012 in review

The WordPress.com stats helper monkeys prepared a 2012 annual report for this blog.

Here’s an excerpt:

The new Boeing 787 Dreamliner can carry about 250 passengers. This blog was viewed about 1,800 times in 2012. If it were a Dreamliner, it would take about 7 trips to carry that many people.

Click here to see the complete report.

ใส่ความเห็น

Filed under ไม่มีหมวดหมู่

Life of Pi : ชีวิตมหัศจรรย์ของพาย

Life of Pi : ชีวิตมหัศจรรย์ของพาย

Life of Piเมื่อวันที่ 26 ธันวาคมได้ออกไปดูภาพยนตร์ที่เพื่อนๆ ไม่มีใครชวนดู นั่นก็คือเรื่องชีวิตมหัศจรรย์ของพาย — Life of Pi พอดูไปได้ซักพักก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันท้าทาย criticism เสียจริงๆ เลยตั้งใจว่าจะเขียนวิจารณ์หนังเรื่องนี้ แต่พอกลับมาก็เผลอหลับไป แบบไม่รู้ตัว ถือว่าผิดหลักการของตัวเองมาก เพราะปกติไม่เคยวิจารณ์หนังข้ามวันซักที

ถึงแม้คนที่ไม่เคยอ่าน Life of Pi ฉบับหนังสือก็ตาม แต่แค่ชื่อเรื่องก็พอคาดเดาได้ว่าเรื่องนี้คงหนีไม่พ้นแนวเดียวกับ A Curious Case of Benjamin Buttons ที่จะมาเล่าอัตชีวประวัติอันแสนเหลือเชื่อของตัวละครเอก แต่ผิดคาด เพราะเรื่องนี่สอดแทรกประเด็นความเชื่อและศาสนาไว้แน่น และมากมายหลายศาสนาจริงๆ เล่นเอาพ่อหนุ่มเบนจามินที่มาพร้อมเวลาย้อนกลับของดิชั้นเงิบไปเลยทีเดียวค่ะ

คำเตือน !! มีการเปิดเผยเนื้อหาของเรื่อง หากไม่อยากเสียอรรถรสก่อนชมกรุณาข้าม

เนื้อเรื่องกล่าวถึงชีวิตของ พิซซีน พาเทล เด็กที่เกิดและโตในสวนสัตว์ วันที่เขาเกิดกิ้งก่าตัวหนึ่งในสวนสัตว์เกิดหลุดจากกรง และถูกนกจิกตาย พ่อของเขาได้ตั้งชื่อเขาตามสระว่ายน้ำในฝรั่งเศสโดยมีการเท้าความไปถึงมามาจี ลุงและครูสอนว่ายน้ำของเขา ที่เป็นนักสะสมสระว่ายน้ำ สระว่ายน้ำที่ใดสวย มามาจีต้องไปว่ายให้ได้ และสระว่ายน้ำที่ชื่อพิซซีน พาเทล คือสระว่ายน้ำที่ทุกคนที่แสวงหาความสุขในชีวิตต้องไปว่ายให้ได้ พ่อของพิซซีนรู้สึกว่าชื่อนี้โดนใจอย่างแรง จึงเอามาตั้งเป็นชื่อลูกชายคนที่สองของตนเองค่ะ เป็นไงล่ะคะ แค่ที่มาของชื่อพี่เค้าก็แฝงอะไรต่อมิอะไรไว้เต็มไปหมด

มามาจีนี้เอง ที่เป็นคนแนะนำนักเขียนนิยายคนหนึ่งที่รู้สึกหมดไฟในการเขียน ให้มาพบเจอกับพิซซีน เพื่อจะได้มีแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องใหม่ของเขา พิซซีนเล่าเรื่องของเขาตั้งแต่วัยเด็ก ที่เพื่อนๆ ในโรงเรียนของเขาไม่ได้ทราบความหมายอันลึกซึ้งในชื่อของเขา แต่กลับล้อเลียนและเรียกเขาว่า พิซซิ่ง (pissing) ที่แปลว่าฉี่ พิซซีนรู้สึกอับอายและพยายามหาทางแก้ไขเรื่องนี้ด้วยตนเอง โดยตั้งชื่อเล่นของตนว่า พาย

พายมีภูมิหลังทางครอบครัวที่พิเศษ พ่อของเขาเนื่องจากเกิดในวรรณะที่ต้อยต่ำในอินเดีย พ่อเขาจึงไม่มีความเชื่อมั่นใด ๆ ในศาสนา พร้อมทั้งยืนกรานว่า ในสิบปี วิทยาศาสตร์จะพิสูจน์สิ่งที่ศาสนาทำไม่ได้ในรอบ 10,000 ปี ส่วนแม่ของเขานับถือศาสนาฮินดู และถูกตัดจากครอบครัว เพราะมารักกับพ่อของพาย ซึ่งมีวรรณะต่ำกว่า ถึงกระนั้น ทั้งคู่ก็ยังมีความเชื่ออยู่เต็มเปี่ยมในรูปแบบที่ต่างกันไป พ่อของพายที่ยืนยันว่าตนไม่เชื่อศาสนา แต่เขากลับสาปแช่งพ่อครัวที่ไม่ยอมทำอาหารมังสวิรัติให้ทานให้ตกนรกหมกไหม้ ขอให้พระเจ้าลงโทษ นั่นนี่ ทั้งที่เขาประกาศว่าศาสนาคือความมืดบอด ส่วนแม่ของเขาพาพายไปดูพิธีของศาสนาฮินดูพิธีหนึ่งคือพิธี “วิษณุอนันตศายิน” หรือที่คนไทยคุ้นเคยกันว่า นารายณ์บรรทมสินธุ์ ซึ่งนั่นทำให้พายเชื่อมั่นในวิษณุ(นารายณ์) และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้พบกับโบสถ์ศาสนาคริสต์และก็ทำให้เขาเลื่อมใสในพระเจ้าที่ยอมเสียสละลูกของตนมาเพื่อไถ่บาปมนุษย์ และยังประทับใจในพิธีกรรมละหมาดที่ทรงพลังของอิสลามอีกด้วย ซึ่งนั่นทำให้พ่อเขาแย้งว่า “การเชื่อในหลายสิ่ง คือการไม่เชื่อในสิ่งใดเลย” เหตุการณ์ที่สำคัญในชีวิตของพายถูกรวบรวมมาเล่าราวกับไม่มีวันจบสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการได้เสือตัวใหม่มาที่สวนสัตว์ อันมีชื่อแปลกประหลาดว่า ริชาร์ด ปาร์คเกอร์ เสือตัวที่พ่อเขาใช้เป็นบทเรียนสอนให้เขารู้จักความกลัว หรือการได้พบเจอกับอนันดี สาวน้อยนางรำเพื่อบวงสรวงเทพเจ้า หญิงสาวผู้ทำให้เขารู้จักความรัก

ชีวิตของพายเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อเทศบาลตัดงบประมาณสนับสนุนสวนสัตว์ของพ่อเขา พ่อเขาจึงตัดสินใจขายสัตว์ทั้งหมด เพื่อเดินทางไปยังแคนาดา กับเรือที่ชื่อว่า tsimtsum พร้อมกับคนจำนวนหนึ่ง และสัตว์ส่วนใหญ่ในสวนสัตว์ของเขา มองไปก็คล้ายเรือของโนอาห์ไม่น้อย ปัญหาที่เกิดขึ้นบนเรือคือครอบครัวของพายเป็นมังสวิรัติ แต่คนครัวไม่ยอมทำอาหารมังสวิรัติให้ จนเกิดทะเลาะกัน ดังที่เล่าไปข้างต้นไปแล้ว ไม่นานจากนั้น พายุก็เข้าอย่างรุนแรง พายสนใจในปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้ จึ่งตื่นขึ้นมาดูที่ดาดฟ้าเรือ แต่สิ่งที่เขาพบคือเกิดเสียงดังปึงปังท่ามกลางคลื่นยักษ์ที่ถาโถม และเรือก็เริ่มจม จากนั้น การเดินทางของเขาพร้อมเสือเบงกอลที่มีชื่อว่าริชาร์ด ปาร์คเกอร์ก็เริ่มขึ้น

หลายคนถกกันว่า จริง ๆ แล้วพายเชื่อมั่นในศาสนาใดกันแน่ บ้างก็ว่า พายเลือกที่จะเชื่อมั่นในคริสต์มากกว่าในตอนท้าย แต่สำหรับการตีความผ่านสายตาของดิชั้นแล้ว คิดว่าพายนั้น ไม่เชื่อในศาสนาใดเลย  ——– ที่กล่าวเช่นนั้น เพราะว่า 227 วันในการเดินทางของเขานั้น มันได้ทำให้เขาเสื่อมศรัทธาในทุกศาสนา

  • เขาเฝ้าภาวนาเพรียกร้องถึงพระเจ้า ทวงถามว่าพระเจ้าต้องการสิ่งใดและเขาก็ยังยิงคำถามที่ว่า เขาสมควรเชื่อมั่นต่อไปหรือไม่ ซึ่งในส่วนนี้น่าจะหมายถึงความเชื่อมั่นในพระเจ้า ตามแบบคริสต์ แต่พระเจ้าเหล่านั้นกลับหันหลังให้เขา เขายิงพลุขอความช่วยเหลือจากเรือเดินสมุทรลำหนึ่ง แต่ถึงแม้เขายิงจนพลุหมด เรือลำนั้นก็กลับไม่ช่วยเหลือ แนวคิดนี้จับจิตขึ้นมาก็ตอนนี้แหละ ที่เขาพูดว่าจงอย่าหยุดเชื่อมั่น พร้อมกับยิงพลุไฟลูกสุดท้ายขึ้นฟ้าไป  เมื่อพลุไฟมอดลง ความเชื่อมั่นของเขาก็ได้หายไปเสียแล้ว
  • หรือเมื่อครั้งที่เขาได้พบเกาะประหลาดกลางทะเล เกาะนั้นก็ช่างมีรูปลักษณ์คล้ายกับคนนอนกลางมหาสมุทรอย่างจงใจ มันช่างคล้ายกับวิษณุนอนกลางเกษียรสมุทรในตำนานของฮินดู นอกจากนี้ตกดึกเขาก็ได้พบซี่ฟันของมนุษย์ในช่อใบไม้บนเกาะนั้น ช่างตรงกับตำนานที่วิษณุสร้างพรหมขึ้นเสียจริง และผลท้ายแบบที่ไม่ต้องคาดเดามากคือ พายหันหลังให้เกาะ พอ ๆ กับที่ศรัทธาในวิษณุของเขาได้เสื่อมคลายไป
  • ความเชื่อความศรัทธาต่าง ๆ ของพายต่างถูกทดสอบในมหาสมุทรอันเวิ้งว้างที่มีเพียงเขาเและเสือที่พ่อของเขาสอนให้เกรงกลัวตั้งแต่เด็ก ความกลัวของเค้าก็แปรเปลี่ยนมาเป็นความเชื่อมั่น บางคนก็บอกว่าความเชื่อของเขา หลอมรวมมาในรูปแบบที่เรียกว่า beyond intouchable god คือตัวริชาร์ด ปาร์คเกอร์ เป็นลัทธิบูชาเสือ ว่างั้น แต่ที่ท้ายสุดมา เขาก็เสื่อมศรัทธาในริชาร์ด ปาร์คเกอร์  ในวันที่เสือเบงกอลตัวโตเต็มวัยได้เดินไปจากเขาในวันที่เขาขึ้นฝั่งในเม็กซิโก
  • นอกจากนี้แล้ว บางเรื่องพายก็เลิกเชื่อมั่นไปเสียดื้อ ๆ เช่นเรื่องความรัก เห็นได้จากการที่พายได้นำด้ายแดงที่อนันดีมอบไว้ให้เป็นพยานแห่งรักแรก (ด้ายแดงคือพรหมลิขิตใช่ใหมเธอ) ไปมัดทิ้งไว้บนเกาะประหลาดนั้น
  • User Manual ของเรือช่วยชีวิตที่เขาอาศัยมานั้น กลับใช้ประโยชน์ใด ๆ ไม่ได้เลยในสถานการณ์จริง ช่างทำลายความเชื่อมั่นความศรัทธากันเสียจริง

โดยสรุปแล้วหนังเรื่องนี้ท้าทายความเชื่อของคน ว่าพระเจ้าของคุณ คุณ คุณ ทั้งหลายนั้น ช่วยเหลือคุณได้จริงหรือแม้แต่ในเพื่อนมนุษย์ก็เถอะ เช่นตอนที่พายเขียนขอความช่วยเหลือใส่ในกระป๋อง แต่กระป๋องนั้นก็ไม่เคลื่อนไปใหนเลย ดังนั้น ชีวิตมนุษย์นั้นจะขอความช่วยเหลือจากใครได้หรือ นอกจากตัวเอง สุดท้ายนั้น ตัวเองนี่แหละ ที่ต้องเป็นที่พึ่ง เป็นที่เชื่อมั่นของตนเอง จากหนุ่มน้อยมังสวิรัติต้องมาล่าปลาเพื่อประทังชีวิต มันตะหงิดนิด ๆ ว่าล้อเลียนเรื่องตำนานเจหอยนางรมของกวนอิมนะ หรือการขอขมาหลังฆ่านั้น ฉันคิดไปเองหรือเปล่าไม่รู้ว่ามันล้อเลียน เอวา จาก Avartar นิด ๆ เหมือนกันนะ อย่างไรก็ตามหลายๆ เสียงเลือกจะบอกว่า ตัวของพายเชื่อในศาสนาของฉันต่างหาก แต่ในความรู้สึกของฉันเรื่องนี้ทำออกมาเหยียดทุกศาสนาในคราวเดียวชอบกล

สิ่งที่ชอบ

  1. ภาพสวยมากถึงมากที่สุด ต้องยอมอั้งลี่เค้าล่ะค่ะ ทั้งแบบ 3D ที่ทำออกมา แต่มั่นใจว่าถึงไม่ใช่ 3D ภาพก็จะยังสวยไม่น้อยทีเดียว
  2. ช่างตระการตาเสียจริงกับเหล่าสัตว์เลี้ยง น่ารักบ้าง น่ากลัวบ้าง แต่ใส่มาได้พอดีมากตั้งแต่การเปิดเรื่องแล้วค่ะ
  3. หนุ่มน้อยพาย สื่ออารมณ์ออกมาได้ดีมากทีเดียวค่ะ เห็นภาพ coming out of age ชัดเจน
  4. ภาษอังกฤษสำเนียงอินเดียที่ปรากฏตลอดเรื่อง มันฟังพิลึก แต่ทำให้เรื่องสมจริงได้อย่างประหลาด
  5. “การเชื่อในหลายสิ่ง คือการไม่เชื่อในสิ่งใดเลย” ยกให้เป็น the best qoute ของเรื่องนี้จริง ๆ ค่ะ

สิ่งที่ไม่ชอบ

  1. ฉากจมของเรือ tsimtsum ทำได้ไม่สมจริงเท่าใหร่
  2. ตัวเสือ ริชาร์ด ปาร์คเกอร์ ทำได้ดี สมจริง แต่มาพลาดเอาฉากท้าย ที่เข้าใจว่าต้องการให้เสือดูป่วย โทรม แต่มันทำให้เสือตัวนั้นกลายเป็นเสืออีกตัว ไม่ใช่ริชาร์ด ปาร์คเกอร์ที่ฉันคุ้นชิน อีกทั้งตอนที่มันทะยานเข้าป่าไปนั้นกลับดูเป็นซีจีหลอกตาชอบกล
  3. ความยาวของเรื่อง และการดำเนินเรื่องช่วงต้น เรียกอาการหาวชวนฝันได้ดีทีเดียว

ให้ทั้งหมด 9/10 ค่ะ ชอบจริง ๆ กับการเล่นประเด็นความเชื่อของคนแบบนี้

7 ความเห็น

Filed under ไม่มีหมวดหมู่

It’s get better ??

มีโอกาสได้ไปดูหนังเกี่ยวกับกะเทยมาหนึ่งเรื่องค่ะ

ภาพยนตร์เรื่องล่าของผู้กำกับคนเก่ง กอล์ฟ ธัญญ์วาริน สุขพิสิษฐ์ (จากเรื่อง insect in the backyard และ ฮักนะสารคาม) โดยส่วนตัวได้ชมงานก่อนหน้าแล้วรู้สึกชื่นชอบในการนำเสนอข้อมูลปัญหาชายขอบ ไม่ว่าจะเป็นของ วัยรุ่น ชายรักชาย กะเทย หรือแม้แต่ปัญหาแบบชาวบ้าน ๆ การเลือนหายของวัฒนธรรม ฯลฯ พอได้ข่าวหนังเรื่องนี้ก็กำลังรออยู่พอดีเชียว เพราะมีการแทรกประเด็นพระเข้ามา !!

เนื้อเรื่องเริ่มต้นที่ ป้าต่าย (ขอเรียกป้านะคะ) ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างรถคันเก๋ วิวสวยมากเชียวค่ะ แต่ยกฝีมือให้ช่างกล้องของเรื่องนี้นะคะ เพราะคุณซูมทุกส่วนสัดของป้าต่ายให้ทุกคนได้ล่วงรู้ถึงสังขาร แล้วอยู่ดี ๆ ป้าต่ายก็นั่งฉี่ซะงั้น

เรื่องดำเนินไปด้วยสามคู่หลัก ค่ะ คือ ป้าต่าย(สายธาร) – ปั้นจั่น(ไฟ) เบล(หลิว) – สลิ่ม(ต้นไม้) และเณรดิน – หลวงพี่แสง การตัดภาพเน้นความไม่เรียบลื่นตามเคย(เริ่มคิดว่าคงจะเป็นเทคนิคส่วนบุคคลของพี่เค้าเป็นแน่แท้) ถึงแม้ว่าจะมีการนำเสียง หรือสถานที่มาเป็นตัวเชื่อมทั้งสามคู่ก็ตามที

“เธอไม่รังเกียจเหรอ ที่ฉันเป็นกะเทย — ไม่มีใครรังเกียจกะเทยหรอก พวกเค้าแค่ไม่เข้าใจ “ เนื้อเรื่องของป้าต่าย กะเทยวัยดึก เดินทางมายังบ้านนอกด้วยเหตุผลบางอย่าง แล้วก็ได้มาพบกับนายไฟ ช่างซ่อมรถจอมเฟี้ยวแถวนั้น ทั้งคู่ผูกพันกันแบบง่าย ๆ เรียบลื่น ตามประสาผู้ชายบ้านนอก หรือที่กะเทยเรียกว่า “บ่าวบ้าน” นั้นเอง ยกคะแนนให้ป้าต่ายนะคะ ลื่นมาก แสดงเป็นกะเทยได้ดีมาก เนื้อเรื่องป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ ร้านพ่อค้าชื่อตาหิน ป้าต่ายรักนายไฟ แต่เมื่อแฟนเก่านายไฟกลับมาจากเมืองกรุง นายไฟก็ทิ้งป้าต่ายอย่างง่ายดาย (ฉากนี้สะท้อนเจ็บและแรงมากค่ะ กะเทยยอมรับ)

“พ่อของผม รู้สึกรังเกียจผม ที่ผมเป็นแบบนี้ เช่นเดียวกันกับที่หลวงพี่รู้สึกอยู่ตอนนี้” เรื่องของนายดิน ที่มีอาการตุ้งติ้ง พ่อเห็นท่าไม่ดีจึงพาดินไปบวชให้แม่ และที่นั่นดินก็ได้พบกับหลวงพี่แสง กลับทำให้อาการของดินกำเริบกว่าเดิมเสียอีก แอบไปนอนที่กุฎิหลวงพี่แสงทุกคืน หลวงพี่แสงเห็นท่าไม่ดีจึงตีตนออกห่าง คู่นี้เปิดโอกาสให้จินตนาการกันได้เต็มที่ ด้วยความที่ตัวละครทั้งคู่ไม่มีการพูดอะไรออกมาโต้ง ๆ แต่เปิดโอกาสให้คนดูคิดเองเออเองเต็มที่ ก็ลองมีบทเลิฟซีนพระดูสิคะ โดนพวกโง่แบนไปเจ็ดชาติแน่นอน มีการใช้ประโยคเด็ดของหนัง(เคยใช้ในฮักนะสารคามแล้วรอบนึง) ที่ว่า “กะเทยเป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดไปเอง”

“นายลองหยิกแขนตัวเองดูซิ นายเจ็บใหม —– เราก็เจ็บเป็นเหมือนกัน “ เรื่องราวของต้นไม้(สลิ่ม) ที่เดินทางมาเพื่อปิดกิจการคลับโชว์ของพ่อที่พัทยา และได้พบกับต้นหลิว กะเทยขับรถของคลับ ต้นไม้แอบชอบกะเทยตัวเอกของคลับ(ลูกปัด)แต่ก็ยังสับสนกับความรู้สึกของตนเองเพราะว่าตนเองชอบผู้หญิง แต่แล้ววันนึงด้วยความเมา ก็ได้เสียกันกับหลิวซะงั้น เมื่อตื่นมาตอนเช้าเค้าก็ไล่หลิวออกไปราวกับหมูหมา ทำให้กะเทยเจ็บเจียนตายก็ว่าได้มั้ง เป็นที่มาของเพลง “ไม่ได้ขอให้มารัก”

*** เห็นได้ว่า ทั้งสามตอนล้วนนำเสนอความผิดหวังในความรักของตัวละครเอก ไม่ว่าจะเป็น ชายรักชายก็ดี กะเทยแต่งหญิง หรือว่า กะเทยแต่งหญิงยังไม่ผ่าก็มี ล้วนแล้วแต่ต้องผิดหวังทั้งนั้น !! แต่เจ๊แกผูกปมให้แน่นกว่านั้น ตามประสาเจ๊แกนั่นแหละค่ะ ด้วยการเฉลยว่า

——————–

  • ป้าต่ายคือลูกของตาหิน ที่กลับมาเพราะอยากดูแลพ่อตัวเอง แต่ไม่กล้าเปิดเผยตัว ด้วยความที่ว่าตนนั้นเป็นกะเทย !!!
  • เณรดิน คือการเล่าเรื่องในวัยเด็กของป้าต่าย ที่ถูกพ่อบังคับให้ไปบวช เพื่อลบพฤติกรรมตุ้งติ้งออกไป !!!
  • สลิ่ม คือลูกของป้าต่าย !!! ที่ไม่เคยเห็นหน้ากันแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยความที่ป้าต่ายกลัวว่าลูกจะรับไม่ได้ จึงตกลงกับเมียตนว่าห้ามเล่าให้ลูกฟัง !!!

———————

 

มี timeline มาให้ดูค่ะ

เรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องของเด็กกะเทยคนนึงที่มีชื่อว่าดินค่ะ โดยจะมีพัฒนาการดังในรูปคือ จากเด็กชายดิน เป็นเณรดิน เป็นนายดินที่แต่งงานมีเมียมีลูก และเจ๊สายธาร แต่จะเห็นได้ว่ามีกลวิธีในการเล่าเรื่องแบบสลับไปมานะคะ คู่ที่ 1 คือคู่ของป้าต่ายกับปั้นจั่น นั้นจริง ๆ แล้วเป็นช่วงเวลาที่ 2 ส่วนคู่ที่ 2 คือคู่ เณรดินและหลวงพี่แสงเป็นอดีตของป้าต่ายในวัยเด็ก จะนับเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน และคู่ที่ 3 คือ คู่ของเบลและสลิ่มนั้นเป็นเหตุการณ์ท้ายสุด

แต่จะมีการย้อนแย้งของเรื่องราวแทรกเข้ามาบ้างเช่น การให้สายธารเดินสวนกับเณรดินตรงบันไดวัด หรือการให้สายธารเดินมาทักต้นไม้ที่บาร์ เป็นการเสิรมจุดให้เนื่อเรื่องดูย้อนแย้งมากยิ่งขึ้น

เลยวกวนกลับเข้ามาสู่ชื่อเรื่องที่ว่า It’s get better ? (ขออนุญาตเติมเครื่องหมายคำถาม เพราะรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ) ว่า ตลอดชีวิตของกะเทยนั้น มันเคย better หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็กที่ต้องมีปัญหากับผู้ปกครอง หรือว่าวัยหนุ่มที่ต้องถูกคลุมถุงชน หรือบังคับแต่งงาน หรือวัยสุดท้ายของชีวิต ที่มีทุกอย่างพร้อม มีคลับของตนเอง แต่ก็ยังไม่สามารถเผชิญหน้ากับพ่อ หรือลูกได้ ใหนจะเรื่องเล่นกับไฟ ที่ต้องถูกเด็กหนุ่มหลอกลวงอีก แล้วชีวิตทั้งชีวิตนี้ของการเป็นกะเทย มัน get better ตรงใหน ?

เฮ้อ นะ เล่นแรงซะเหลือเกินนะแม่คุณ และเหมือนเดิมค่ะ พี่แกมักมีลูกเล่นกับชื่อตัวละครแบบนี้เสมอ ๆ ค่ะ ดังนี้ ดินโดนแสงก็ไม่อาจจะเกิดผลใด ๆ ให้งอกงามได้ —> แต่เมื่อเวลาผ่านไป ต้นไม้ก็งอกจากดิน —> เป็นที่มาสายธาร ที่กลับมาเล่นกับไฟ และกร่อนหินให้ใจอ่อนลง —> และต้นไม้ก็ได้พบกับต้นหลิว ไม้ป่าเดียวกันว่างั้นเถอะ

 

10 ให้เต็ม 6 นะคะ

 

สิ่งที่ชอบ

  1. – ปั้นจั่น จะจอยไปใหนคะคุณ ถ้าได้ผัวแบบนี้ชั้นจะเลิกแรดละ
  2. – ป้าต่าย ฉ่ำไปใหน เก็บข้อมูลนานมั๊ยคะป้า ขอบอกว่าฉากลงทุนโชว์หน้าสดคือได้มาก หนูรับรู้ได้ถึงสังขารค่ะ และฉากพิจารณาหนังหน้าตัวเองก็เริดได้อีก
  3. – พลอตค่ะ ผูกแน่นจนไม่รู้จะว่าไง
  4. – เพลงค่ะ เบลทำได้ดีมาก
  5. – วิว ฉาก สวยมาก

สิ่งที่ไม่ชอบ

  1. – การตัดต่อค่ะ กระโดดได้อีกนะคะ ยิ่งตอนแรก ๆ ที่สลับไปมาที่วัดกะฉากป้าต่ายมันตัดกันมาก
  2. – เบลแสดงแข็งมากนะคะ สคริปต์มาก สลิ่มเองก็นะ
  3. – เจ๊กอล์ฟแอบกัดกะเทยเหนือใช่ใหมคะ เป็นตุ๊ดแล้วต้องไปบวช รู้สึกได้ถึงความใกล้ตัวค่ะ
  4. – การสรุปเนื้อเรื่องตอนท้าย ขาดความละเอียดอ่อนในหลาย ๆ ส่วนนะ เช่น พอป้าต่ายโดนยิง แล้วตาหินรู้ได้ยังไงว่าป้าต่ายเป็นลูก ? แล้วตาหินมีเพียงอารมณ์ตกใจที่ลูกโดนยิง แต่ไม่มีฟีลที่ว่า ลูกฉันเป็นกะเทยแต่งหญิง ?? แล้วทำไมตาหินจึงรู้จักต้นไม้หลานตัวเองทันทีแรกพบ ??
  5. – พลอต มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ เพราะมัดแน่นจนเราอึดอัด
  6. – ตอนจบ เบลอนิดหน่อย เพราะสลิ่มเองก็แสดงอารมณ์ออกมาน้อยกว่าที่ควร แล้วไม่มีข้อสรุปที่แน่นอน เกี่ยวกับคลับของป้าต่าย ??
  7. – เชื่อว่าเจ๊กอล์ฟมีฉบับ limited edition อยู่ในมือแน่นอนค่ะ และคงเริดกว่านี้ เพราะฉบับที่ได้ดูในโรงที่เชียงใหม่นี้เหมือนกับเชือกที่ผูกปมแน่น แต่กลับคลายตัวอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ

ใส่ความเห็น

กุมภาพันธ์ 16, 2012 · 2:16 am